ปลดล็อก“เมืองรอง”หนุนศก.โต

 “ภาคการท่องเที่ยว” ยังถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการออกหลายมาตรการเพื่อเป็นการฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 จนขณะนี้สถานการณ์ในภาคการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และภาพถัดไปของรัฐบาลในการปลุกการท่องเที่ยวเพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ นั่นคือ “การท่องเที่ยวเมืองรอง”

โดยก่อนหน้านี้ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ได้กำหนดเป้าหมายในเชิงสัดส่วนของรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรอง อยู่ที่ประมาณ 30% หรือราว 3.6 แสนล้านบาท ของเป้าหมายรายได้ตลาดในประเทศปี 2567 ที่ราว 1.2 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการสร้างรายได้รวมจากการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและตลาดต่างประเทศที่ราว 3.5 ล้านล้านบาท

นโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ถือเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญของรัฐบาลในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจากเมืองหลักไปสู่เมืองน่าเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การกระจายรายได้อย่างทั่วถึง และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลมุ่งผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก

ด้าน “ธนาคารโลก (World Bank)” ได้นำเสนอผ่านรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย เดือน ก.ค.2567 หัวข้อปลดล็อกศักยภาพการเติบโตของเมืองรอง โดยเน้นย้ำว่า ในระยะยาวเมืองรองมีศักยภาพในการเพิ่มผลิตภาพของประเทศไทย กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก

พร้อมทั้งระบุว่า การพัฒนาเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่กรุงเทพฯ ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ และแม้ว่าความเป็นเมืองหลักของกรุงเทพฯ จะขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ อย่างไรก็ตาม ความแออัดและความเปราะบางของเมืองในด้านต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาเขตเมืองอย่างสมดุล และเหตุการณ์อุทกภัยปี 2554 ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางด้านเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ ในกรุงเทพ อีกทั้งเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ได้ส่งสัญญาณชะลอตัว เนื่องจากการเติบโตของจีดีพีของกรุงเทพฯ ใกล้เคียงกับการเติบโตของประชากร ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า “เศรษฐกิจเมืองได้เติบโตอย่างเต็มที่และถึงจุดอิ่มตัว” เป็นเหตุให้ผลิตภาพอาจดีขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือไม่เปลี่ยนแปลง

โดยจากข้อมูลล่าสุด การเติบโตของจีดีพีต่อหัวของเมืองรอง สูงกว่ากรุงเทพฯ เกือบ 15 เท่า ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีดีพีต่อหัวนี้ แสดงให้เห็นถึงผลิตภาพ ประสิทธิภาพ และศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของเมืองรอง โดยเมืองรองมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภูมิภาค ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการปกครองท้องถิ่นและภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจภูมิภาคกับกรุงเทพฯ หรือเป็นระเบียงการค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

นอกจากนี้ ในฐานะศูนย์กลางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เมืองรองยังสามารถบรรเทาความแออัดและตึงเครียดในกรุงเทพฯ โดยการเป็นทางเลือกสำหรับที่ตั้งในการดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเห็นได้ว่าเมืองเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างงานและการกระจายฐานเศรษฐกิจ อีกทั้งยังส่งเสริมการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่สมดุลมากขึ้นทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี “World Bank” มองว่า ความท้าทายหลักที่ทำให้เมืองรองไม่สามารถบรรลุศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนได้อย่างเต็มที่คือ การพึ่งพารายได้จากส่วนกลางมากเกินไป หากการปกครองท้องถิ่นมีอำนาจมากขึ้นในการวางผังเมือง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเข้าถึงกลไกทางการเงินระยะยาว ควบคู่ไปกับการมีเครื่องมือทางการคลังที่เหมาะสม เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การเรียกเก็บภาษีเงินได้เพิ่มเติมที่ต้องชำระให้ส่วนท้องถิ่นจากฐานภาษีเงินได้ (income tax piggy backing) และค่าธรรมเนียมการใช้บริการสาธารณะ หรือโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้เมืองเหล่านี้สามารถกำหนดทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไม่เอาคนเนรคุณ

แยกข้างแบ่งขั้วกันตั้งแต่หัววัน... วานนี้ (๒๕ ธันวาคม) นายกฯ อนุทิน ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายแก้ ม.๑๑๒ “...ถ้ายังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่ร่วมด้วยแน่นอน พรรคไหนจะร่วมก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค แต่เท่าที่ดูแคนดิเดตของทุกพรรค ไม่มีพรรคไหนตอบว่าจะแก้ไขมาตรา ๑๑๒ ยกเว้นพรรคประชาชน...”

ใครต้องการ?

ธาตุไฟแตกอาการเป็นอย่างไร? ดูได้จากคุณอนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ที่โพสต์เมื่อวานนี้.. “การเมืองที่ดี ต้องพาประเทศไปข้างหน้า ไม่ใช่พากลับไปซ้ำรอยเดิม

หลายคนนับถือหัวใจ

ถือว่าสะเทือน หลัง ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตพรรคพลังประชารัฐ ด้วยเหตุเรื่องสุขภาพ ทำให้ว่าที่ผู้สมัคร สส.หลายคนถือจังหวะกระโดดหนีไปหาต้นสังกัดใหม่เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ในครั้งนี้

บันทึกหน้า 4

จาก "หนู" หนึ่งเดียว กลายเป็นสอง ก่อนหน้านี้ถามกันทุกวันถึง 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของภูมิใจไทย ในงานแถลงนโยบาย "พูดแล้วทำพลัส" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ชัดเจนว่า "อนุทิน ชาญวีรกูล" ฉายเดี่ยว โฆษกพรรคย้ำแล้วย้ำอีก

แผน ‘ทัพไทย’ ร้ายลึก

เจรจา....ก็เจรจากันไป รบ...ก็รบกันไป ถามว่า “แล้วพิพาทไทย-เขมร มันจะไปจบกันตรงไหน?”

ใครแข็งในจุดขาย

ยังไม่ทันเลือกตั้ง ก็เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่รำไรแล้วครับ ปัจจัยหลักคือการประกาศจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค เงื่อนไข ไม่ใช่เรื่อง เทาหรือไม่เทา