
ขอบ่นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนนิดหนึ่งครับ
จะเรียกว่าถอนหายใจ หรือกลั้นหายใจ มันพูดยาก เพราะจะถอนหรือกลั้นหายใจนั้น ผมกลัวจะไอและสำลักขึ้นมาทันที เนื่องจากต้นสัปดาห์ สภาพอากาศกลับมาสู่ปกติ กลับมาสะอาด และเปิดหน้าต่างได้แล้ว ผมก็รู้สึกดีใจ ถึงแม้จะมีคนในรัฐบาลออกมาเคลมความสำเร็จในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษก็ตาม
ทำเป็นขึงขัง ออกมาตรการ 6 มาตรการสั่งจากต่างประเทศ สั่ง "กำชับ” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ปัญหาด่วน เพราะ “เตรียมการมานานแล้ว” พอวันที่ลมพัดมา ปัดฝุ่นออกไปที่อื่น ทำให้สภาพอากาศกลับมาสะอาด คนในรัฐบาลรีบเคลมเป็นผลงาน (ถอนหายใจลึกๆ และมองบนด้วย)
ในตลอดระยะเวลาสัปดาห์ที่เหลือที่สภาพอากาศดี คนในรัฐบาลค่อนข้างจะเดินด้วยความมั่นใจ เดินด้วยความภาคภูมิใจว่าตัวเองเก่ง มองการณ์ไกล ฉลาด และแก้ปัญหาที่คนอื่นแก้ไม่ได้…ทั้งๆ ที่ธรรมชาติแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่ฝีมือคนในรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ
แต่พอปลายสัปดาห์ ฝุ่นเริ่มกลับมา ความเก่ง ความฉลาด หายไปไหนหมด? ตอน “แก้ปัญหา” เสร็จสรรพเรียบร้อย พูดดังฟังชัดเลยว่า “เพราะนโยบายของเรา” แต่พอฝุ่นกลับมา พอลมนิ่ง มาตรการจัดการฝุ่นพิษคือ…..ให้ประชาชนใส่แมสก์ (ถอนหายใจผ่านแมสก์ครับ)
เอาเถอะบ่นก็เท่านั้น เข้าเรื่องที่มีสาระดีกว่า
ในตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โลก Big Tech ถูกเขย่าอย่างแรง ถ้าเป็นภาษายุคนี้ต้องพูดว่า โลก Big Tech ถูก Disrupt อย่างมาก ไม่ใช่จากนโยบาย ไม่ใช่จากมาตรการจากหน่วยงานรัฐ แต่เป็นแอปพลิเคชันที่เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันระหว่างกลุ่มยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการด้าน AI เป็นหลัก
เมื่อเราพูดถึงบรรดากลุ่ม Big Tech ทั้งหลาย เรามักจะนึกถึงบริษัทฝรั่งใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะเป็น Meta Google Apple เป็นต้น เรามักจะเข้าใจกันว่าบริษัทฝรั่งเป็นผู้นำด้านนี้ ถึงแม้จะมีคนเอเชียเป็นผู้บริหารก็ตาม บริษัท Big Tech ที่เป็นเอเชีย ถึงแม้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถ้าพูดกันแบบหยาบๆ เรามักจะติดภาพว่าเขาเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ และถ้ายิ่งหยาบกว่านั้น เรามักจะนึกถึงบริษัท Big Tech (เอเชีย) ว่าเป็นผู้เลียนแบบมากกว่าผู้คิดค้นด้วยซ้ำ
ในครั้งนี้ DeepSeek มาแรงและมาเร็ว ตั้งแต่วันที่เปิดบริการผ่าน app store เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา มีแต่คนแห่โหลด ทำให้ Big Tech ทั้งหลายที่ลงทุนหลายพันล้านเหรียญฯ เพื่อพัฒนา AI ของเขา ต้องเกาหัวและสำลักน้ำกันเป็นแถว เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า DeepSeek จะสำเร็จขนาดนี้ จะครองตลาด AI ขนาดนี้ และสิ่งสำคัญคือ จะใช้งบลงทุนการสร้างบริการน้อยขนาดนี้
อย่างที่บอกครับ บรรดา Big Tech ทั้งหลายลงทุนเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนา AI ของตนเอง แต่ DeepSeek (อ้างว่า) ลงทุนเพียง 6 ล้านเหรียญฯ (!!!)
ขอเท้าความว่า DeepSeek คือแอป AI คล้ายๆ กับพวก ChatGPT สำหรับใครที่คุ้นเคยกับ AI และวิธีการใช้ AI จะทราบว่าเปรียบเสมือนมีพจนานุกรมและมี Encyclopedia อยู่ในมือถือ โดยที่จะย่อโลก ย่อประเด็นที่เราต้องการให้ทันใจและทันเวลา แถม AI ช่วยร่างจดหมาย ร่างรายงาน และช่วยงานเราได้ดี….ถ้าใช้มันเป็น
DeepSeek คือบริษัท AI ที่ถูกก่อตั้งในเมืองหางโจว (เมืองหลวงมณฑลเจ้อเจียง) เมื่อปี 2023 ด้วยฝีมือนายเหลียง เหวินเฟิง ซึ่งตอนนี้ถือว่าเขาเป็นผู้น่าจับตามอง และอาจเป็นผู้ที่ทำให้แวดวง Big Tech ต้องทบทวนบทบาทตัวเอง ดีไม่ดีอาจเป็นคนทำให้ขั้วอำนาจโลกเปลี่ยนทิศทันทีก็ได้ เปลี่ยนจากตะวันตกเป็นผู้นำโลก เป็นตะวันออกเป็นผู้นำโลกแทน
ที่พูดอย่างนี้เพราะก่อน DeepSeek จะเขย่าโลกนั้น อนาคตและโลกเหมือนอยู่ในมือของบริษัท Big Tech จากซีกตะวันตก เช่น บริษัท Open AI ที่เป็นเจ้าของ ChatGPT เขาวางตัวเป็นผู้นำและเจ้าพ่อ AI ในสหรัฐ (และโลก) ส่วนบริษัท Nvidia ที่เป็นเจ้าของบรรดาชิปวางตัวคู่กับ OpenAI เพื่อเดินไปข้างหน้าครองโลกด้วยกัน
เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 มีการประกาศว่า สหรัฐกับบริษัท Big Tech ทั้งหลายจะรวมตัวกันสร้างระบบ AI ในสหรัฐเป็นจำนวนเงิน 500 พันล้านเหรียญฯ (คำนวณเป็นบาทเองละกันครับ)
DeepSeek มาจากไหนไม่รู้ และอยู่ๆ Disrupt ทุกอย่างด้วยคุณภาพแอป AI ที่เปิดบริการให้ download ใช้ฟรี (ณ เวลานี้) (ในขณะที่ ChatGPT ต้องเสียค่าสมาชิก ค่าบริการเดือนละประมาณ 200 เหรียญฯ) ด้วยงบลงทุนเพียง 6 ล้านเหรียญฯ ครับ ทำไมจะไม่เขย่า Big Tech ในสหรัฐ? ถ้าเป็นจริง ที่ DeepSeek สามารถสร้างแอป AI คุณภาพขนาดนี้ ดีขนาดนี้ ด้วยงบเพียง 6 ล้านเหรียญฯ นั้น คำถามคือ บรรดาบริษัทฝรั่งใช้งบทำอะไรล่ะ?
มีคนเข้าใจว่าการสร้าง ChatGPT ทาง OpenAI ใช้งบประมาณ 600 ล้านเหรียญฯ แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า ยังไม่มีอะไรยืนยัน ว่า DeepSeek ใช้งบเพียง 6 ล้านเหรียญฯ ในการสร้างแอปนี้ และตอนนี้ยังประมาณการและพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่า DeepSeek เขย่าโลก Big Tech ขนาดไหน เพราะเรื่องกำลังเกิดขึ้นวันต่อวัน รู้แต่ว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาหุ้น Big Tech ทั้งหลายตกเหวกันเป็นแถว Nasdaq (ที่มีบรรดาบริษัท Big Tech) ตกไป 3% (ไม่ใช่จุด แต่เปอร์เซ็นต์ครับ) เช่นเดียวกับ Nvidia (ตก 12%) Microsoft (ตก 4%) และ Oracle (ตก 7%) ควรจะต้องจับตามองสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า ว่าบรรดา Big Tech จะปรับตัวอย่างไร จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร และจะทำอย่างไรต่อไป
หวังจะขอความช่วยเหลือจากทรัมป์? ทรัมป์บอกว่า เป็นสัญญาณที่ดีที่จะกระตุ้นให้ Big Tech ทั้งหลายเข้าใจว่าโลกมีการแข่งขันมากขึ้น
หรือที่ DeepSeek อ้างว่าใช้งบเพียง 6 ล้านเหรียญฯ นั้น ไม่เป็นความจริงแม้แต่นิดเดียว? รู้แต่ว่ารัฐบาลจีนประกาศดังลั่นทั่วโลกว่า บริษัทจีนพร้อมนำพาจีนสู่ผู้นำโลกได้
ไม่แน่ครับ พวกเราอาจกำลังเห็นประวัติศาสตร์ผลัดใบ เปลี่ยนอำนาจโลก จากซีกตะวันตกเป็นซีกตะวันออก ต่อหน้าต่อตาพวกเราก็ได้ อย่าถามว่าจีนพร้อมเป็นผู้นำโลกไหม เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราพร้อมให้จีนเป็นผู้นำโลกหรือไม่?.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

