ประเทศนี้ ‘ไม่มีเจ้าภาพ’

ไปนอนคุยกับความตาย กินเครื่องเซ่นในโรงพยาบาลตามเวลามา ๕-๖ วัน

น้ำหนักลดไป ๘ กิโล

“อแลง เดอลอง” สมัยหนุ่มๆ สเลนเดอร์-เพรียวลมขนาดไหน  ตอนนี้ ผมก็ขนาดนั้น (เรื่องจริงนะ ไม่ได้โม้)

“ความตาย” นึกว่าน่ากลัว แต่ที่แท้ ท่านใจดีออก คุยไป-คุยมา “ถูกคอกัน” ท่านบอกให้ผมกลับไปเขียนหนังสือ “กวนตา-กวนตีน” คนบางจำพวกไปก่อน

อีกนานแหละ กว่าจะถึงคิวผม!?

และยังบอก เดือนพฤษภา. “เมืองไทย” จะมีอะไรให้ตื่นตา-ตื่นใจเป็นที่เซอร์ไพรส์หลายเหตุการณ์ ต่อเนื่องเป็นช่วงๆ 

เริ่มจากพฤษภา. ไปกรกฎา.-สิงหา. จากสิงหา.ไปพฤศจิกา.-ธันวา.

ผมอดถามไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่ว่านั้น เป็นฉันใด?

ท่านก็ว่า เรื่องของฟ้า-ดิน มนุษย์มีศีล-ครองธรรม จิตที่เคยรุ่มร้อนต่อ “กาลีลงเมือง” จะคลายเคืองผ่อนเย็น เป็นที่ประหลาด

เช่นเดียวกัน ผู้คิดคดกบฏชาติ ไร้ศีล สิ้นธรรม ก่อกรรมต่อชาติและประชาชน ก็สัมผัสได้เช่นกัน

จากผยอง ลำพอง ทำชั่ว-โกงชาติแล้วได้อำนาจมาครอง ต่อจากนี้ จากผยอง จิตจะย้อนเป็นร้อนรน

นอนตะแคงก็ฝันร้าย นอนหงายไฟก็เผาเงินที่โกงไปไหม้ทั่วร่าง ครั้นนอนคลุมโปง ก็เหมือนมีหอกแยงแทงก้นทะลุออกปาก

ที่เป็นเช่นนั้น...........

เพราะถึงเวลาแล้ว ที่เหล่าเทพเทวาผู้พิทักษ์เมือง ท่านจะออกมาทำหน้าที่ “กวาดล้างมนุษย์มารเมือง”

มันเข้าสู่ช่วง “กรรมเช็กบิล” อย่างที่ว่านั่นแหละ!

คนทำชั่ว ต้องรับผลจากกรรมชั่ว, คนดี ต้องได้รับผลของกรรมดี

เป็นดั่งที่ “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร” เคยประทานธรรม “แสงส่องใจ วันมหาจักรี” เตือนสติประชาชนไว้ว่า

.....................................................

"กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน"

" .. คำพยากรณ์แต่โบราณนานมานี้ "น่าจะบอกว่ายุคมืดจะมาถึง คือยุคที่คนดีจะถูกเหยียบย่ำ คนชั่วจะได้รับยกย่อง" ซึ่งต้องเป็นผลของกรรมที่ได้ทำกันมา ทั้งกรรมชั่ว และทั้งกรรมดี

กรรมที่เอื้อมมือมาถึงแล้ว

อย่างไรก็ตาม "เราทุกคน พึงหลีกให้พ้นการเป็นมือแห่งกรรมชั่ว ที่จะเหยียบย่ำคนดี และหลีกให้พ้นจากการเป็นมือแห่งกรรมดี ที่จะยกย่องคนชั่ว"

เพราะจะเป็นการร่วมสร้างบ้านเมืองของตนให้สิ้นความงดงาม ที่จะเกิดจากกำลังใจของคนดี ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนดี

บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยความเลวร้าย ที่เกิดจากกำลังใจของคนชั่ว ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนชั่ว

"พึงรอบคอบในการดูให้รู้จริง ว่าใครดี ใครชั่ว"

รอบคอบในการฟังเสียงบอกเล่า จึงจะช่วยประเทศชาติให้สวัสดีได้ และช่วยตนให้พ้นบาปได้ .. "

................................................

ก็นับจากกาลนี้ไป

บ้านเมืองไทยจะพ้นยุค "กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน" กันซะที!

การล้างยุค “คนชั่วมีอำนาจบริหารประเทศ” ที่จะเกิดต่อจากนี้ ต่อให้ท่านเดา ก็เดาไม่ออกว่าจะมาในรูปแบบไหน?

บางเรื่อง มนุษย์กำหนดได้

แต่บางเรื่อง ต่อให้มนุษย์กำหนด ก็มิสู้ “ฟ้า-ดิน” กำหนด!

เชื่อผมเถอะ เมืองไทย ได้ชื่อว่า “เมืองพุทธ” โลกยกย่องให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก”

แต่จริงที่เป็นวันนี้-ยุคนี้ “ไทยเป็นพุทธเปลือก”

ส่วนเนื้อใน ไทยเป็นประเทศ “ทุจริต-คอร์รัปชัน” ความชั่วร้ายอบายมุข ฝังรากลึกในทุกระบบ

ตั้งแต่ระดับรัฐบาล รัฐสภา ตุลาการ นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ สถาบันศึกษา ครู-อาจารย์ พระสงฆ์ สื่อ เรื่อยลงไปถึงระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน

โกงจนบางพรรคตั้งเป็นสโลแกนหาเสียงอย่างเท่ “โกงเอามาแบ่งกัน ไม่เป็นไร” (แต่จัญไร)

และชาวบ้านทั่วไป ก็ดูเหมือน “เห็นดี-เห็นงาม” กับสโลแกนพรรคนั้น จึงเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาล ด้วยหวังเศษน้ำข้าวจาก “ก้นกะลา”!

คดีทุจริตในวงราชการ จับได้ว่าทุจริต แต่ “ตัวการทุจริต” ไม่รู้ใคร?

บางราย “ทนโท่” หนีไม่พ้น ศาลลงโทษคุก ๓๐-๔๐-๕๐ ปี แต่พอถึงคุก ราชทัณฑ์ ใช้ “กฎกระทรวง” ลบล้างกฎหมายอาญา ติด ๔-๕ ปี ปล่อยออกมาปร๋อแล้ว

“ติดโดยไม่ต้องติด” จนโลกยกให้เป็น “นักโทษเทวดา” ก็มี  อย่างทักษิณนั่นไง!

มัน “เละ-เหลว-แหลก” ไปทุกระบบแล้ว ถามว่า ที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ เพราะใคร?

ตอบได้ทันที เพราะ “นักการเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง!

พื้นกำเนิดการเลือกคนขึ้นมาปกครองของไทย เป็นลักษณะ “พ่อปกครองลูก” เขาจะเลือกคนมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับของสังคมนั้นๆ ขึ้นเป็นผู้ปกครอง

ส่วนระบอบประชาธิปไตยเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งที่บนฐาน “อำนาจ+เงิน” ซึ่งเป็นรูปแบบมีกำเนิดจากพวกตะวันตก

แต่คณะปฏิวัติผู้ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เอาการเลือกตั้งที่ใช้เงินแทนคุณธรรมมายัดเยียดให้คนไทยยอมรับ

“สภาผู้แทนราษฎร” ร้อยละ ๖๐-๗๐% จึงกลายเป็นสถาบัน ฟอกโจร ฟอกนักค้ายา ฟอกพวกค้าของเถื่อน ฟอกเจ้าพ่อ-มาเฟียอิทธิพลถิ่น

ธรรมชาติ “มนุษย์” เกิดจากสิ่งหยาบ ตามพื้นนิสัยสันดาน “ไวต่อความชั่ว” จนพูดกันว่า “ความชั่วหัดง่าย” บางคนไม่ต้องหัด ก็ชั่วได้ทันทีเลยตามสันดาน

ดังนั้น ในระบอบประชาธิปไตย ที่เน้นปริมาณ “ไม่เน้นคุณภาพ” เมื่อเงินคือประชาธิปไตยและประชาธิปไตยคือเงิน

มันตรงสเปก เจ้าพ่อ มาเฟีย คนบ้านใหญ่ นักธุรกิจสีเทา นักหากินรับเหมาก่อสร้างงานรัฐโดยตรง

ซื้อเสียงซักร้อยล้าน พอได้เข้าสภา ยิ่งได้เป็นฝ่ายรัฐบาล มีตำแหน่งด้วยแล้ว

๓๐% ทุกโครงการ ลงทุนร้อยล้าน แป๊บเดียว กำไรเป็นพันๆ  ล้าน!

ชาวบ้านก็ชอบ เสพติดการเลือกตั้ง เพราะรู้ “มีเลือกตั้ง-ตังค์ก็มา” จึงสรุปความได้ว่า

“ต้นไม้พิษ” คือ “ต้นประชาธิปไตยเลือกตั้ง”

“รัฐบาล-สส.” คือ “ผลไม้พิษ”

แล้ว “ผลไม้พิษ” นั้น แพร่เชื้อสู่ระบบบริหารและปกครอง  แพร่กระจายไปตามหน่วยราชการทุกระบบของประเทศ

ก็มาถึงโจทย์ประเทศวันนี้ ที่ว่า........

แล้วจะล้าง “เชื้อชั่ว” จากผลไม้พิษที่แพร่ไปสู่ระบบราชการลามถึงภาคเอกชนคนทำธุรกิจติดต่อการค้ากับภาครัฐตลอดถึงชาวบ้านได้อย่างไร?

ทุกอย่างมัน “ปลายเหตุ”

ถ้าจะแก้ให้ได้ผลและตรงจุด ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ

“โค่นต้นผลไม้พิษ” มันทิ้งไปซะ!

ไม่ได้หมายให้ล้มระบอบประชาธิปไตย แต่ผมหมายถึงให้ “วัดตีนคนไทย” ตัดรองเท้าประชาธิปไตย MADE IN THAILAND

แทนสั่งรองเท้าตีนคนเยอรมนีบ้าง อิตาลีบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง  อังกฤษบ้าง อเมริกาบ้าง มาให้คนไทยใส่           เลือกตั้งไทยถึงได้คนพิการตีนมาเป็นผู้ “ทรงเกือก” เต็มสภา

ไทยมี “๓ สถาบันอำนาจ” คือสถาบันบริหาร สถาบันนิติบัญญัติ และสถาบันตุลาการ เป็นเสาหลัก “ค้ำยัน” สังคมธรรม

ถามว่า....

แล้วทุกวันนี้ ทั้ง ๓ เสาหลัก ค้ำยันสังคมประเทศให้เป็น “สังคมธรรม” ได้ดีอยู่หรือไม่?

เสารัฐบาล เสารัฐสภา เสาตุลาการ มีเสาไหนผุกร่อน มีหนอนชอนไชเข้าไปวางไข่บ้างหรือไม่?

บ้านเมืองจึงตกต่ำ อัปยศ อดสู ปล่อยคนชั่วมีอำนาจบริหารเมือง โกงกิน-คอร์รัปชันฟูเฟื่องกระเดื่องโลก ตึก สำนักงาน อาคารหน่วยราชการ คอร์รัปชัน สร้างค้าง-ทิ้งร้าง ทั่วประเทศ แต่หาคนรับผิดชอบไม่ได้

ตึก สตง.แผ่นดินไหว พังครืนทับคนตายเป็นร้อย ก็ยังไม่รู้จะเอาผิดใคร?

แล้วบ้านเมืองมันจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อ “เสา ๓ ประสาน” คานน้ำหนักพวก “กินบ้าน-โกงเมือง” ทั้งที่เห็นคาตาไม่ได้

แถมทุกส่วนอำนาจกลับถือว่า “ธุระไม่ใช่”!

แล้วสุจริตชน คนทำมาหากิน เสียภาษีให้รัฐปีละเป็นแสน-เป็นล้านบาท เขาจะเสียไปเพื่ออะไร  เพื่อบำรุง “โจรในระบบรัฐ” อย่างนั้นหรือ?

ที่พูดมานี้ คือ “ภาพรวม” ของสังคมบริหารและปกครอง ปัจจุบัน ซึ่งผมมองแล้ว หาคนทุกข์ร้อนแทนประเทศไม่ได้

มีแต่คนพูดว่า “ธุระไม่ใช่” บ้าง พูดว่า “ไม่ใช่หน้าที่” บ้าง

ทั้งๆ ที่ประเทศไทยขณะนี้ กำลังสู่หายนะ ต่อหน้า-ต่อตา!?          แต่เอาเถอะ ก็สู่บทสรุปตามประสาผมว่า....

จากวันนี้ไป ใครที่กบฏต่อ “สัตย์ปฏิญาณ” ที่ให้ไว้ต่อชาติ ต่อองค์พระปฏิมา เตรียมพบความวิบัติ ฉิบหาย วุ่นวาย ลูกเมียหนี

ใครที่ซื่อตรงต่อ “ชาติ-พระศาสนา-สถาบันพระมหากษัตริย์” จะเรืองจรัส เจริญจำรูญ

 “กรรมเช็กบิล” รอบนี้ จะทบต้น-ทบดอก ชนิดเรียกว่า “ล้างหนี้-ล้างบาง-ล้างคอก” กันไปเลย

อย่าบอกว่า “โหดร้าย” นะ

เพราะที่ทำกับชาติบ้านเมืองจน “สิ้นศรี-เสื่อมศักดิ์” ขณะนี้ มันโหดร้ายกว่า

โหดถึงขนาด กทม.ต้องปั้น “เหี้ย” ตัวเบ้อเร่อเป็นสัญลักษณ์แทนเฮีย เป็น “แลนด์มาร์ก” ไว้ที่สวนลุมฯ

พวกสาวกตาบอด รีบจูงกันไปปิดทองซะ ก่อนเขาจะเก็บ!

-เปลว สีเงิน

๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’

๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'

เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”

เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม

มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”

“มิตรในยามยาก”

“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้

‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’

แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก