ความเห็นของต่างชาติต่อการเมืองหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476: (70) : การยึดอำนาจวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476-กบฏบวรเดช (คณะกู้บ้านกู้เมือง)

 

ไชยันต์ ไชยพร

หลังเหตุการณ์กบฏบวรเดช (คณะกู้บ้านกู้เมือง) เซอร์ รอเบิร์ต ฮอลแลนด์ และ นายแบกซ์เตอร์ ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทั้งสองได้บันทึกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการที่พระองค์ทรงทบทวนสถานการณ์ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อปีก่อนหน้านั้น อัครราชทูตอังกฤษได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับพระราชดำรัสนี้ว่า “….จากข้อมูลที่ข้าพเจ้ามีอยู่นั้น การทบทวนสถานการณ์ (review of the situation) ตั้งแต่การปฏิวัติเมื่อปีที่แล้วไม่เพียงแต่มิได้เป็นการขยายความจนเกินจริง (exaggerate) เท่านั้น หากแต่ยังอาจถือได้ว่า เป็น การเล่าเรื่องที่เชื่อถือได้โดยสมบูรณ์ (absolutely authentic account) ของสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ที่น่าสนใจเป็นการเฉพาะ หากพิจารณาการวิพากษ์วิจารณ์ที่ได้เกิดขึ้นในตอนนั้น คือพระราชดำรัสเกี่ยวกับสภาวการณ์ที่ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินไปสงขลา (เรื่องเดียวกัน)  ดังนั้น ในที่นี้ จึงจะขอนำบันทึกของ เซอร์ รอเบิร์ต ฮอลแลนด์ มาเสนอไว้ทั้งฉบับมิใช่เพียงเพราะความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ แต่เพื่อเป็นการปกป้องพระเกียรติยศแห่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ต้องได้รับความกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ในช่วงนั้นด้วย (Inclosure in Doc. 116, “Notes on Sir R. Holland’s Audience with His Majesty the King of Siam” อยู่ใน เรื่องเดียวกัน หน้า 131-132 ส่วน “Notes on Mr. Baxter’s Audience with His Majesty the King’s of Siam” อยู่ในรายงานฉบับเดียวกันนี้ หน้า 132-135 บันทึกทั้ง 2 ฉบับลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2476)

ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อบุคคลทั้งสองนี้ตามที่บันทึกไว้โดย เซอร์ รอเบิร์ต ฮอลแลนด์ (ต่อจากตอนที่แล้ว)

“….ข้าพเจ้ารู้สึกว่า อนาคตจะขี้นอยู่กับชะตากรรมของผู้ที่ได้รับเคราะห์กรรมจากผลของการก่อการกบฏเมื่อเร็วๆนี้เป็นสำคัญ ข้าพเจ้าได้เรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้มีการยกเลิกโทษประหาร พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาได้ตกลงในเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีพวกเลือดร้อนหัวรุนแรง (hot-heads) จำนวนมากที่ยืนยันว่าจะต้องมีการประหารชีวิต (อัครราชทูตอังกฤษระบุว่า “จากที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมานั้น เป็น พันโท หลวงพิบูลสงครามและกองทัพบกเป็นสำคัญ ที่ยืนยันจะให้ใช้มาตรการปราบปรามรุนแรง (severe repressive measures) อันเป็นมาตรการที่กำลังใช้อยู่ขณะนี้” [F 7458/21/40] “Sir J. Crosby to Sir John Simon, 13 November 1934”, British Documents, p. 163)

การดำเนินงานเช่นนี้จะมีผลชี้ชะตาในอนาคต (fatal move) การแก้แค้น (vengeance) จะตามมาจัดการในระยะยาวกับผู้ที่รับผิดชอบ และผลก็คือ เราจะได้เห็นเพียงแต่การปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า (a vista of revolutions) โดยที่แต่ละครั้งก็จะสูญเสียเลือดเนื้อ (sanguinary) มากกว่าครั้งที่ผ่านมา ความเห็นของต่างชาติจะประณามการใช้การลงโทษประหารชีวิต โดยเฉพาะจนถึงขณะนี้ เวลาได้ผ่านไปนานแล้วหลังจากมีคำพิพากษาตัดสินลงโทษ บุคคลที่รับผิดชอบในรัฐบาลปัจจุบันมิได้รู้สึกหวั่นไหวกับความคิดที่ว่า การกระทำของตนอาจถูกเพ่งเล็งอย่างไม่เห็นด้วยโดยมหาอำนาจต่างชาติ ข้าพเจ้าได้ยืนยันว่า ข้าพเจ้าจะให้ท่านทั้งสองเข้าเฝ้า (เซอร์ รอเบิร์ต ฮอลแลนด์และนายแบกซเตอร์) วันนี้โดยไม่มีผู้แทนคนใดของรัฐบาลร่วมอยู่ด้วย และข้อเรียกร้องของข้าพเจ้าก็ได้รับการสนองตอบ เพราะรัฐบาลตระหนักดีว่า สำคัญเพียงใดที่จะได้ความเห็นอย่างไม่เป็นทางการจากชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ เพื่อที่จะได้รับรู้สภาพที่แท้จริงอย่างถูกต้อง รัฐบาลตระหนักในที่สุดว่า ข้าพเจ้ามิได้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และด้วยการสนทนาอย่างเสรีและจริงใจกับท่านอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำไปแล้วนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความปลอดภัยของรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะในทางใด (ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้ออก “พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลในการควบคุมด้วยการกักบริเวณผู้ต้องสงสัยได้เป็นเวลาถึง 10 ปี และยังได้กำหนดระวางโทษการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญไว้ 3 ถึง 7 ปีหรือปรับตั้งแต่ 500 บาทจนถึง 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)  เป็นเวลาช่วงหนึ่งแล้วที่รัฐบาลไม่ยอมให้ข้าพเจ้าให้สัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวแก่ชาวยุโรปคนใด

แนวคิดในการปกครองของคณะที่อยู่ในอำนาจปัจจุบันนี้คือ การธำรงรักษาการครองอำนาจ (dominance) ของพวกเขาไว้ ความพยายามและมาตรการทั้งหมดของพวกเขามุ่งไปที่เป้าหมายนั้น หากพวกเขาไม่ถูกโค่นล้มโดยกำลังเสียก่อนโดยขบวนการต่อต้ายภายในของกองทัพบก พวกเขาก็จะยังคงอยู่ในอำนาจต่อไปต่อไปจนกว่าสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนมติมหาชนอย่างแท้จริง จะสามารถระบุเจตนารมณ์ของตนในลักษณะซึ่ง (ผู้มีอำนาจ) ต้องเชื่อฟัง

พระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ที่ปรึกษาชาวต่างชาติทั้ง 2 คนนี้ มีประเด็นสำคัญยิ่งอยู่อย่างน้อย 3 ประการ                 

ประการแรก พระองค์ได้ทรงอธิบายสถานะของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ (หรือมิได้กระทำ) ที่ยังอาจเป็นข้อสงสัยได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการเสด็จพระราชดำเนินไปสงขลาในช่วงเหตุการณ์ ‘กบฏบวรเดช’ ที่ทำให้พระองค์ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก และพระราโชบายเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในประเด็นหลังนี้ การที่ทรงเชื่อว่ายุคสมัยของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงแล้วโดยสิ้นเชิง และทั้งศรัทธาและความชื่นชมที่ทรงมีต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ ซึ่งมีสมาชิกครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง ยืนยันชัดเจนอีกครั้งในพระราชดำริเรื่องนี้ที่ทรงมีมาแต่แรก ประการต่อมา เราเห็นได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสครั้งนี้ว่า ความไม่ลงรอยในทางความคิดยังคงมีอยู่ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัฐบาบคณะราษฎรขณะนั้น เช่น ในเรื่องการลงโทษประหารชีวิตผู้ต้องคดีจากเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ความไม่ลงรอยระหว่างกันนี้ยากที่จะประสานให้เข้าด้วยกันได้

ประการสุดท้าย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า สำคัญที่สุด ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักแน่ชัดว่า โอกาสที่จะประสานรอยร้าวไม่มีอยู่อีกแล้ว พระราชดำรัสครั้งนี้ ซึ่งแม้จะมิได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวสยามโดยตรง แต่ก็มีลักษณะเหมือนเป็นพระราชดำรัส สั่งเสีย” และ “อำลา”  แม้จะทรงย้ำว่า จะเสด็จพระราชดำเนินจากไปเป็นการชั่วคราวเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ทรงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติมาตั้งแต่ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่นาน ดังนั้น เมื่อทรงต้องประสบกับสถานการณ์ที่สร้างความตึงเครียดกดดันแก่พระองค์ตลอดระยะเวลาหลังจากนั้น (ทั้งๆที่ทรงมีปัญหาเกี่ยวกับพระเนตรและพระพลานามัยอยู่ตลอดเวลา) ก็มาถึงจุดที่พระองค์ยากจะทรงทนรับสถานการณ์ได้อีกต่อไป เมื่อเสด็จพระราชดำเนินออกจากสยามในเดือนมกราคม พ.ศ. 2477  เพื่อเสด็จประพาสยุโรป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน่าจะทรงได้ตัดสินพระทัยแน่นอนแล้วว่าจะสละราชสมบัติ”

(แหล่งอ้างอิง: ฝรั่งมองไทยในสมัยรัชกาลที่ 7: ตะวันออกที่ศิวิไลซ์ ?, ธีระ นุชเปี่ยม)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้