India+Pakistan+Kashmir เท่ากับ Never Ending Story

สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้โลกต้องจับตามองว่าการปะทะจะยกระดับเป็นการสู้รบ และจบที่สงคราม ระหว่าง 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งคู่หรือไม่

สิ่งที่ผมพูดถึงคือ ความตึงเครียดระหว่างเพื่อนบ้าน ประเทศอินเดียกับปากีสถาน ที่มีประวัติกระทบกระทั่งกันตั้งแต่อินเดียประกาศอิสรภาพเกือบ 80 ปีที่แล้ว

ในโลกนี้มันมีบางเรื่องที่เราถือว่าเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องธรรมชาติที่มาคู่กับโลกใบนี้ บางคนเกิดมาและไม่รู้จักโลกอะไรอื่นที่ไร้ความขัดแย้ง

หรือไร้ปัญหาระหว่างคู่กรณีบางคู่กรณี เช่น บางคนเกิดมาไม่รู้จักโลกอื่นที่ไม่มีความขัดแย้งในซีกตะวันออกกลาง บางคนรู้จักแต่โลกที่มีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน เป็นต้น

และบางคนรู้จักแต่โลกที่มีปัญหาระหว่างอินเดียกับปากีสถาน เพราะเป็นปัญหาที่มีมายาวนาน และสำหรับพวกเราที่ไม่ได้สัมผัสกับปัญหาโดยตรง หรือไม่ได้อยู่ในประเทศที่มีปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่เวลามีข่าวเกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่ง มักจะดึงเข้ามาในเรื่องความขัดแย้งที่เขามีกันอยู่ เลยเป็นการตอกย้ำภาพความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศนี้ เป็นเรื่องปกติและธรรมดา

ซึ่งหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าต้นตอของความขัดแย้งเริ่มอย่างไร เมื่อไร หรืออาจเคยรู้แต่ลืม วันนี้ขออนุญาตรื้อฟื้นความทรงจำ และปัดฝุ่นประวัติศาสตร์สักหน่อย เพื่อเป็นความรู้รอบตัว เวลาเราอ่านข่าวความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จะได้มีความเข้าใจลึกซึ้งครับ

หัวใจของความขัดแย้ง คือพื้นที่ Kashmir ปากีสถานเข้าใจว่า Kashmir เป็นของเขา อินเดียเข้าใจว่า Kashmir เป็นของเขา ซึ่งทั้งคู่ถือว่าถูก เลยเป็นปัญหาครับ

Kashmir มีพื้นที่กว้างประมาณ 200,000 กว่าตารางกิโลเมตร มีประชากรเกือบ 20 ล้านคน เป็นพื้นที่ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก และถูกแบ่งให้ทิศเหนือกับตะวันตก (มีประชากร 4 ล้านคน) อยู่ภายใต้การดูแลปากีสถาน ส่วนทิศใต้ (มีประชากร 13 ล้านคน) อยู่ภายใต้การดูแลอินเดีย เป็นการแบ่งพื้นที่ที่ อังกฤษ ทิ้งท้ายหลังจากอินเดียได้อิสรภาพ ในปี 1947 ถือว่าเป็นมรดก (หรือปัญหา) ที่ยังเรื้อรังอยู่จนถึงบัดนี้

การสร้างประเทศใหม่ยังปากีสถานนั้น มีวัตถุประสงค์ให้เป็นดินแดน และเป็นที่อาศัยของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนรัฐอิสระอย่าง Jammu กับ Kashmir ที่นับถือศาสนาฮินดูเป็นหลักนั้น มีโอกาสเลือกว่าจะรวมกับอินเดียหรือปากีสถาน ซึ่งราชาของ Kashmir ยุคนั้น (Hari Singh) แต่เดิมเลือกเป็นรัฐอิสระต่อไป ไม่ขึ้นกับปากีสถานหรืออินเดีย เป็นมิตรกับทั้ง 2 ฝ่าย แต่ในที่สุด Singh ต้องเลือกร่วมกับอินเดีย เพราะกองทัพใหม่ของปากีสถานนั้นบุกรัฐ Kashmir เพื่อยึดอำนาจและยึดพื้นที่ จึงทำให้เกิดสงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งแรกระหว่างปี 1947-1948 ขึ้นมาครับ

บรรพบุรุษของ Singh ได้มีข้อตกลงกับอังกฤษในปี 1846 ให้ความร่วมมือกับอังกฤษแลกเปลี่ยนกับพื้นที่ตรงนี้ให้เขาครองอำนาจ แต่พอปี 1947 นั้น กองกำลังจากปากีสถานพยายามยึดพื้นที่ เลยทำให้ Singh ขอความช่วยเหลือจากอินเดีย เพื่อต่อต้านและปกป้องพื้นที่ตัวเอง ซึ่งอินเดียยินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว เนื่องจากเป็นฮินดูทั้งคู่ แต่ต้องยอมรวม Kashir เข้าอินเดีย

ระหว่างปะทะกัน (ปากีสถานกับอินเดีย) มีคณะทูตจาก 2 ประเทศ นำเรื่องนี้ไปที่สหประชาชาติเพื่อหาข้อยุติ สหประชาชาติมีมติให้คน Kashmir มีประชามติเลือกว่าจะร่วมกับอินเดีย หรือร่วมกับปากีสถาน และขออนุญาตนอกเรื่องนิดหนึ่งครับ ขอสวมหมวกฟุดฟิดฟอไฟซะหน่อย คำว่าประชามติที่เราคุ้นเคยกันคือ Referendum ใช่ไหมครับ? แต่ในมติสหประชาชาติในครั้งนั้น เขาไม่ได้ใช้คำว่า Referendum หรือ Vote เขาใช้คำว่า Plebiscite

Plebiscite คืออะไร? Plebiscite คือประชามตินั้นแหละครับ แต่ความแตกต่างระหว่าง Referendum กับ Plebiscite คือ Referendum เป็นประชามติที่มีกฎหมายรองรับและบังคับใช้ ส่วน Plebiscite เป็นประชามติที่ไม่มีกฎหมายรองรับอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการถามคำถามประชาชน เพื่อวัดความพึงพอใจ หรือรับรู้ทิศทางของสังคม หรือพูดง่ายๆ ครับ เป็นการโยนหินถามทางก็ว่าได้

ปัญหาอยู่ที่ว่า ในกรณี Kashmir ตามมติของสหประชาชาติในยุคนั้นไม่มี Referendum/Plebiscite/Vote ใดๆ ทั้งสิ้นเกิดขึ้น ให้ประชาชนตัดสินใจทิศทางอนาคตของเขา และในที่สุดสงครามยุติลง เมื่ออินเดียกับปากีสถานตกลงเส้นแบ่งพื้นที่ Kashmir ระหว่าง 2 ประเทศ ทำให้เกิดความสงบเกือบ 20 ปี จนเกิดการปะทะกันอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากกลุ่มบางกลุ่มในปากีสถานพยายามผลักดันกลุ่มกบฏใน Kashmir ให้ยึดพื้นที่คืนจากอินเดีย ทำให้เกิดการสู้รบ และจบที่ข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศ ให้หยุดยิงและหยุดปะทะ

จริงๆ แล้ว Kashmir แบ่งออกเป็น 3 ประเทศ เป็นเจ้าของครับ คือ อินเดีย ปากีสถาน และจีน แต่จีนไม่เกี่ยวข้องกับการปะทะครับ จีนดูแลพื้นที่ส่วนน้อยนิดของ Kashmir เป็นหลัก

มีสงครามเกิดขึ้นอีกรอบระหว่างอินเดียกับปากีสถานในปี 1971 คราวนี้เกิดขึ้นในในซีกตะวันออกของปากีสถาน มีกองกำลัง Bengali (ที่ถูกหนุนจากอินเดีย) พยายามล้มอำนาจรัฐบาลปากีสถาน ซึ่งผลสงครามในครั้งนั้น (ที่อินเดียชนะ) ทำให้ประเทศใหม่เกิด คือบังกลาเทศ และเกิดข้อตกลงใบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ที่เรียกว่า Simla Agreement

หลังสงครามจบลง และอินเดียเป็นผู้ชนะ ผู้นำ 2 ประเทศนัดประชุมในย่าน Simla เพื่อหาข้อยุติวางแผนอนาคตที่จะเป็นประโยชน์ให้กับ 2 ประเทศ มีการแบ่งชายแดนชัดเจน เรียกว่า LoC (Line of Control) ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับและตกลงกันได้ แต่สิ่งที่วางรากฐานความสงบระหว่าง 2 ประเทศคือหัวใจ Simla Agreement ครับ ระบุว่าถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องมาที่โต๊ะเจรจาเพื่อหาข้อยุติก่อน และแทนการปะทะกัน ฝ่ายใดละเมิดข้อตกลงนี้ เท่ากับเป็นการประกาศสงครามในตัว

ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญครับ เพราะเป็นรากฐานการรักษาความสงบระหว่าง 2 ประเทศมาโดยตลอด ถึงแม้หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นจะมีปะทะกัน จะมีสถานการณ์ตึงเครียดเป็นระยะๆ ก็ตาม แต่ทุกครั้งเพราะข้อตกลง Simla Agreement ทั้ง 2 ฝ่ายจะมาที่โต๊ะเจรจา หาข้อยุติทุกครั้ง

ถึงเป็นประเด็นน่าจับตามอง ในการปะทะกันครั้งล่าสุดนี้ ที่ปากีสถานประกาศชัดเจนว่า ในการตอบโต้กับอินเดีย หลังเหตุการณ์ 22 เมษายน เขา (ปากีสถาน) จะถอนตัวออกจากข้อตกลง Simla Agreement เลยไม่รู้ว่าจุดจบครั้งนี้จะเป็นอย่างไร

วันนี้ถือว่าเป็นวันให้ความรู้รอบตัวกับเรื่องที่ผ่านตาพวกเราเกือบทั้งชีวิตก็ว่าได้ครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SEA Games แบบไทยๆ

คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ

ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?

“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”

'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?

เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า

'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน

SNAP ดีหรือไม่ดี?

ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม

Back to the Future…

กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน