
วันนี้เป็นวันครบรอบ 45 ปี ที CNN (Cable News Network) ออกอากาศครั้งแรก
ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครในโลกไม่รู้จัก CNN ถ้าถามว่าดู CNN หรือไม่ ทุกคนต้องตอบว่าดูอยู่แล้ว ถ้าคำถามคือ “เคยดู CNN ไหม?” ต้องตอบคือ “เคยอยู่แล้ว” ต้องถามว่าเวลาอยู่บ้าน ดูไหม?
มีน้อยคนตอบ “ดูเป็นประจำ” เพราะผมยอมรับและสารภาพว่าผมไม่ได้ดูเป็นประจำ ถ้าอยู่บ้านฝันไปเถอะ แต่ถ้าผมเดินทาง ผมเปิด CNN เป็นหลัก ไม่รู้ทำไมครับ เมื่อเดินทางและนอนโรงแรม ความรู้สึกคือ มันต้องทันต่อเหตุการณ์ และสนใจเรื่องราว ในโลกทันที แต่พออยู่บ้าน ไม่คิดจะดูครับ
CNN เป็นส่วนในชีวิตพวกเราก็ว่าได้ ไม่ว่าจะทางอ้อมหรือทางตรง แต่ถ้าย้อนกลับไป 45 ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมโทรทัศน์ทั่วโลก แตกต่างกับ ยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ในยุคนี้ช่องหลักๆ ที่เคยยิ่งใหญ่ และมีกำไรล้นฟ้า ตอนนี้ประสบปัญหาหมด จากยุคที่ทุกคน ต้องนั่งหน้าจอรอดูรายการที่ชอบ ตอนนี้ผู้ชมไม่ต้องง้อใคร ดูตามใจชอบ ดูเมื่อสะดวก และมีทางเลือกเยอะ เพราะมีช่องโทรทัศน์ ล้นฟ้า และล้นจักรวาล จนทำให้ผู้ชมมึนงง
แต่ในยุคก่อนๆ ไม่เป็นเช่นนั้น มีช่องทีวีไม่กี่ช่อง ผู้ชมมีทางเลือกน้อย แต่พวกเราในยุคนั้น ไม่ได้รู้สึก มีทางเลือกน้อย ไม่ได้รู้สึก ถูกยัดเยียด ต้องชมสิ่งที่ ช่องยัดให้เราดู ไม่ได้รู้สึกถูกบังคับอะไรทั้งสิ้น เราดูสิ่งที่เขาให้ดู ถ้าไม่ชอบ ก็ไปดูช่องอื่น หรือไปทำอะไรอย่างอื่น เลยไม่ได้ถือว่าเป็นยุค มืดใดๆ ทั้งสิ้น เป็นยุคที่พวกเรานั่งดูทีวีจริงจัง
ซึ่งแปลก เพราะตามความรู้สึกคือ เมื่อมีช่องเลือกมากกว่าเดิม มีทางเลือกมากมาย ที่เราสามารถดูในสิ่งที่เราชอบได้ ทำไมกลายเป็นว่า ยุคนี้ไม่มีใครดูทีวี?
รุ่นลูกผม ไม่ติดทีวีเลย ไม่สน ไม่ดู และแทบไม่รู้จักด้วยซ้ำ เขารู้จักตัวเครื่องทีวี แต่เขาแทบไม่สนใจ รายการตามช่องทีวี ทั้งๆที่มีช่องสารพัดช่องมากมายก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ดูเลย เพราะนานๆทีเขาจะดู ช่องการ์ตูน เวลาเราเดินทางต่างจังหวัดกัน แต่ประเภทวันเสาร์เช้า จะต้องนั่งดูการ์ตูนทางช่อง 9 หรือหลังเลิกเรียนต้องรีบกลับมาดูทีวีนั้น สำหรับพวกเขาไม่มีครับ
เมื่อ 45 ปีที่แล้วเป็นยุคริเริ่ม Cable TV เป็นยุคที่ (เหมือนบ้านเรา) มีช่องโทรทัศน์หลักๆไม่กี่ช่อง มีรายการอะไร เหตุการณ์อะไร ต้องผ่านช่องหลัก มีคนดูเป็นหลักล้านๆ ต่อชั่วโมง ดังนั้นใครออกโทรทัศน์ยุคนั้น เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ เป็นยุคที่ข่าวคราว ออกวันต่อวัน สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ จะถูกรายงาน วันรุ่งขึ้น หรือถ้าทันข่าวค่ำ (ประมาณ ทุ่มหนึ่ง) จะเผยแพร่ทั่วประเทศได้ เป็นยุคที่ ข่าวท้องถิ่น จะออกอากาศช่วงเย็น ก่อนข้าวระดับประเทศจะออกอากาศ ช่วงทุ่มหนึ่ง
รายการข่าวระดับประเทศ ตามช่องหลักๆ เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ เป็นรายการที่ทุกคนต้องนั่งดู เพื่อรับข้อมูลพร้อมๆกัน ในช่วงเวลา 30 นาที ในรายการนั้น โลกหยุดหมุน เพราะทุกคนต้องนั่งดู หลังรายการข่าวระดับประเทศ ถึงเข้ารายการ Prime Time ที่อัตราโฆษณาจะพุ่งกระฉูด วึ่งกำไรของช่องนั้น จะมาจากช่วง Prime Time ตรงนี้ล่ะ
ในการคิดจัดทำช่องสำหรับ ข่าวล้วนๆ ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น เป็นความคิดบ้าๆ ใครจะนั่งดูข่าว 24 ชั่วโมง? ใครจะดูช่อง ที่มีแต่กีฬา? ใครจะดูช่องที่มีแต่ รายการอาหาร? ใครจะดูช่องที่มีแต่แฟชั่น? ในยุคนั้นไม่มีใครคิดว่าสิ่งเหล่านี้ จะไปได้รอด แต่ Ted Turner กล้าคิดและกล้าทำครับ
Turner เป็นเจ้าของช่อง TBS (Turner Broadcasting System) อยู่แล้ว ซึ่งเป็นช่องที่ประสบความสำเร็จ เอาหนังเก่ามาฉาย และเอากีฬาจาก Atlanta มาเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นเบสบอล หรือบาสเกตบอล แต่เขามีความคิด อยากทำช่องข่าวเป็นหลัก หลังจากไปปรึกษาหารือกับเพื่อนฝูงในวงการทีวี บรรดาผู้เชี่ยวชาญ และกูรูทั้งหลาย มีแต่คนบอกว่า “อย่าทำเลย!” “ทำขึ้นมาจะเจ๊ง!” “ใครจะดูข่าว 24 ชั่วโมงวะ?”
เลยทำให้เขามีแรงบันดาลใจอยากทำ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และพิสูจน์ ผู้เชี่ยวชาญและกูรูทั้งหลาย ว่าเขาทำได้
หลังจากใช้เวลา 4 ปีเต็ม กับการสร้างความใฝ่ฝันตรงนี้ให้เป็นรูปธรรม CNN ออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 1 มิถุนายน ปี 1980 ข่าวแรกที่รายงานคือ ความพยายามฆ่า นักเคลื่อนไหวสิทธิเสรีภาพ Vernon Jordan ส่วนผู้ประกาศข่าวสามีภรรยา Dave Walker กับ Lois Hart ประเดิมช่องให้
ช่วงแรกๆ เกือบล้มเหลว หลายต่อหลายครั้ง ถ้าบอกว่า ไม่ประสบความสำเร็จ ถือว่าน้อยไปครับ จะเรียกว่าโคตรไม่ประสบความสำเร็จก็ว่าได้ เพราะยุคนั้นเป็นยุคที่ คนคุ้นเคยกับข่าวที่มาจากช่องหลัก และข่าวจากช่องหลัก เหมือนข้อมูลจากพระเจ้า มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งกว่าพ่อแม่ตัวเองเอง เป็นวิถีชีวิต ที่คนคุ้นเคยรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นช่องใหม่อย่าง CNN ยังไม่มีความน่าเชื่อถืออะไร ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม เสพข่าวจากช่องหลัก มาดูช่อง CNN
แต่ทาง Turner กับผู้บริหาร CNN มุ่งมั่นเดินหน้า และตั้งคาถาให้กับพนักงาน (และตัวเอง) ตลอดเวลาว่า “Go live, stay with it and make it important” และเพื่อให้ CNN เป็นช่องสำหรับคนทั่วโลก ไม่ใช่ช่องสำหรับคนอเมริกันอย่างเดียว เวลารายงานข่าวอะไร เขาจะไม่ใช้คำว่า “foreign” หรือ “here at home” ถึงแม้หน้าตาผู้ประกาศข่าวเป็น คนอเมริกันก็ตาม แต่คนดูจากแอฟริกา คนดูจากเมืองไทย ไม่ได้รู้สึกว่าเขาดูรายการ ผลิตให้คนอเมริกันดูเท่านั้น
กว่าช่องจะเป็นที่ยอมรับ ริเริ่มจาก เหตุการณ์ระเบิด Challenger เมื่อปี 1986 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ คนอเมริกัน เป็นครั้งแรกๆ ที่คนจะเห็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เกิดขึ้นสดๆ ผ่านจอโทรทัศน์ ถ้าเป็นยุคก่อน ช่องหลักจะรายงานข่าว และจะถ่ายทอดสด เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น อาจจะลากยาวเป็นพิเศษ แต่ในที่สุดช่องหลักๆ ต้องจบรายงานข่าว กลับสู่รายการปกติ
แต่ CNN ไม่ต้องครับ เขายิงสดยาวได้ ยิงยาวตลอด 24 ชั่วโมงได้ เขาให้ใครออกอากาศวิเคราะห์ เหตุการณ์ได้ สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องก็ทำได้ ซึ่งเป็นครั้งแรกๆ ที่ผู้ชมได้รับข้อมูลเต็มๆ เลยเป็นเหตุการณ์แจ้งเกิด CNN ก็ว่าได้ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ CNN เป็นโคตร CNN คือสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปี 1991
ย้อนกลับไปครับ ประธานาธิบดี George Bush (Bush ผู้พ่อ) ประกาศสงครามกับ Iraq และบอกให้ Iraq ถอนกำลังออกจากคูเวต ถ้าไม่ถอน จะมีผลกระทบมาทันที Bush ขีดเส้นใต้วันเวลาชัดเจน ถ้าเลยวันและเวลาที่กำหนด สหรัฐจะเอาจริง ผมจำได้ว่าบรรยากาศทั่วโลก ตอนนั้นตึงเครียด
พอเลยเวลาที่กำหนด ทุกคนในโลกกลั้นหายใจ เพราะไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น จนกระทั่ง 6-7 ชั่วโมงผ่านไป เริ่มมีภาพจรวดประเภท Smart Missiles ทำลายจุดเป้าหมายต่างๆ อย่างแม่นยำ โดยมีผู้เสียชีวิต พลเรือนน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ตลอดเหตุการณ์ครั้งนั้น ทุกคนเปิดดูผ่านช่อง CNN เพราะไม่มีช่องอื่นได ทำได้ดีเท่า และเป็นครั้งแรกๆ ที่คนทั่วไป สามารถดูสงครามที่กำลังเกิดขึ้น
ถึง 2 เหตุการณ์นี้ทำให้ CNN เกิดนั้น แต่ยังไม่ถึง “คนทั่วไป” เพราะ 2 เหตุการณ์ที่ผมเล่า มีแต่คนเสพข่าว คนชอบทันต่อ เหตุการณ์โลกติดตาม แต่ไม่ถึงกลุ่ม “ตลาด ทั่วไป” จนกระทั่งถึง การถ่ายทอดสดขึ้นศาล OJ Simpson ตลอดทั้งปี 1995 ที Simpson ถูกกล่าวหาว่าฆ่า ภรรยาและชู้
พวกเราต้องเข้าใจว่า OJ เป็นนักกีฬาและนักแสดงที่ คนอเมริกันชื่นชอบชื่นชม ถือว่ารักก็ว่าได้ พอข่าวเรื่องภรรยา เขาถูกฆ่า เป็นข่าวช็อกคนทั่วประเทศ พอเริ่มมีข่าวว่า ผู้ต้องสงสัยคือ OJ เอง และตำรวจออกหมายจับ OJ ยิ่งทำให้คนสนใจ แค่นั้นไม่พอครับ มีการถ่ายทอดสด OJ หนี หลายชั่วโมง ทำให้คนทั่วประเทศ ดูรายงานสดเหมือนดูละคร
เมื่อ OJ ต้องขึ้นศาล CNN ตัดสินใจถ่ายทอดสดการขึ้นศาลทุกวัน ตั้งแต่วันแรกจนวันตัดสิน จนทำให้คนทั่วประเทศ ติดการถ่ายทอดสดทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้เสพข่าว จนกลุ่ม “ตลาด” ในวันตัดสินว่า OJ ผิดหรือไม่ผิด ช่วงครึ่งชั่วโมง ในการตัดสินนั้น โลกหยุดหมุนทั้งใบ มีแต่คนจ้องหน้าจอโทรทัศน์รอฟังผล
คิดดูครับ โลกหยุดหมุนขนาดไหน ในช่วงเวลานั้น ยอดผู้ใช้โทรศัพท์ดิ่งลง ถึงขั้นไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เพราะมีแต่คนดูถ่ายทอดสด แต่พอตัดสินออกมา อัตราการใช้โทรศัพท์ทั่วประเทศ พุ่งกระฉูด เพราะมีแต่คนโทรหาญาติโยมมิตรสหาย เม้าท์มอยเรื่องนี้
จึงทำให้ CNN เกิดสำหรับกลุ่ม “ตลาด”
ความจริงเขามี ปรากฏการณ์ “CNN Effect” ที่น่าสนใจครับ เอาเป็นว่าวันหลังคุยเรื่องนี้ครับ วันนี้อยากให้พวกเราแค่ appreciate ช่องทีเป็นส่วนชีวิตพวกเรา จนทำให้บางทีเรามองข้ามเขาด้วยซ้ำ
เมื่อ 45 ปีที่แล้ว ถ้ามีใครเริ่มต้นรายการว่า “This is CNN” คนคงคิดในใจว่า “แล้วไง?” ใครจะไปรู้ว่า “This is CNN” มันจะขลังขนาดนี้?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

