'พงศาวสันดานเขมร'

“สติแตก” จนเหมือนหมา-แมวที่ไล่งับหางตัวเองไปแล้วมั้ยล่ะ?

ไทยยังไม่ได้ "ตัดไฟฟ้า" ทางฝั่งปอยเปตเลย

แต่เขมรทำหยิ่งต่ำ

เป็นฝ่ายตัดซะเอง แล้วไปใช้ไฟจากเวียดนามและลาวแทน

โถ....น่าเอ็นดู สองพ่อลูกคู่นี้!

ก็เอาที่สบายใจเถอะ อยากฉลาดแบบโง่ๆ อย่างไหนก็เชิญเลย ไม่ต้องเกรงใจว่าเขมรไม่คบไทย แล้วไทยจะเดือดร้อนหรอก

ห้ามรถ "ผัก-ผลไม้" ฝั่งไทยเข้าเขมร ทำแล้วสะใจ ก็เชิญ

นัดประชุมระดับชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) กัน วันที่ ๒๗-๒๘ มิ.ย. นัดกันดิบดี แล้วพี่ก็เบี้ยว บอกเลื่อนไม่มีกำหนดซะงั้น

ไม่เคยอยู่กะร่อง-กะรอยเลยจริงๆ สองพ่อลูกคู่นี้!

นี่ "พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา" ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ท่านห่วงคนไทยที่ไปเล่นบ่อนปอยเปต

เมื่อเขมรตัดไฟ จะแลบไพ่ ทอดเต๋า ก็ไม่มัน เห็นแต้มก็ไม่ชัดเพราะไฟไม่เสถียรเหมือนเดิม จะติดๆ ดับๆ

ก็เลยมีคำสั่งไม่ให้คนไทยทั้งนักพนันทั้งคนทำงานบ่อนหรือสถานบันเทิง "งดเดินทาง" ข้ามไปฝั่งเขมร จะอนุญาตเฉพาะรายที่มีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

ทำให้ผมสงสารเขมรสองพ่อลูกขึ้นมาติดหมัด เมื่อบ่อนขาดขา ก็เหมือนหมาขาดน้ำข้าว เดี๋ยวก็หิวโซ ซี่โครงบาน?

ฮุน เซนไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มหรอก "ตัดเอง-ต่อเอง" นักเลงพอ ไทยไม่หัวร่อ รับรอง

ทำเป็น "ดำน้ำแข่ง" ว่าใครจะอึดกว่ากัน ตอบโต้ไทยด้วยมาตรการโน้น-นี้ ทั้งแอนตี้สินค้าไทย ทั้งปิดด่าน ทั้งออกข่าวบิดเบือนด้วยคำโต ต่างๆ นานา

ก็ไปให้มันถึงที่สุดก็แล้วกัน ถ้ามาขอคืนดี ไทยก็ไม่ว่าอะไร แต่คลานมาในท่าถอนสายบัวสวยๆ ก็แล้วกัน!

ตอนนี้ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งมอบให้ "พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์" รมช.กลาโหม ฟอร์มทีมไทยแลนด์ ทำหน้าที่สื่อสาร เพื่อการเข้าใจที่ถูกต้อง

ตั้งชื่อซะเก๋ว่า "ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา" ชื่อย่อว่า "ศบ.ทก"

“ศบ.ทก.” ต้องเป็นฝ่าย "รุก" ทางสื่อสารกับประชาคมโลกนะครับ

ไม่ใช่คอย "รับ" ให้สองพ่อลูกเขมรลากไป แล้วไทยคอยตามแก้ล่ะ!

เรื่องสำคัญที่ขอฝาก คืออยากให้กระทรวงต่างประเทศกับกระทรวงกลาโหม ตั้งทีมงานค้นคว้า-รวบรวมเรื่อง "ปราสาทพระวิหาร" และเดินในเวทีโลกเพื่อ "ขอทวงคืน"

มิใช่เอาคืนมาเป็นสมบัติของประเทศไทย

หากแต่เห็นสภาพปราสาทพระวิหารไร้การเหลียวแลเอาใจใส่จากเขมร ไม่มีการทำนุบำรุงรักษา ทิ้งทรุดโทรม-เสื่อมสภาพ ไม่สมกับที่เป็นมรดกโลกเลย

ไทยซึ่งสงวนสิทธิ์ "ทวงคืน" กับสหประชาชาติไว้แล้ว เห็นแล้วอนาถใจ อยากฟื้นฟู-รักษาปราสาทพระวิหารให้ฟื้นกลับ คงสภาพเพื่อมวลมนุษยชาติได้ชื่นชมกันต่อๆ ไป

ไทยเราควรเดินสายหาเสียง ชี้แจง-อธิบาย โน้มน้าว ชาติสมาชิกสหประชาชาติ ถ้าเป็นไปได้ เชิญเดินทางมาดูสภาพจริงปราสาทพระวิหารวันนี้ ให้เห็นกับตา

ผมเชื่อว่า นานาชาติเห็นสภาพวันนี้แล้ว ต้องสนับสนุนไทยทวงคืนปราสาทพระวิหารมารักษาไว้เป็นมรดกมนุษยชาติแน่

 ซึ่งความจริงแล้ว เมื่อมาเห็นกับตา ก็จะรู้ว่า ปราสาทพระวิหารนี้ ทั้งภูมิสภาพ ทั้งทางขึ้น ทั้งแนวสันปันน้ำ บ่งบอกชัดว่าปราสาทพระวิหารอยู่ฝั่งไทย เป็นของไทยชัดเจน

ท่านสงสัยมั้ย ว่าทำไมเขมรพูดจาตลบตะแลง เชื่อถือไม่ได้?

ผมอยากให้อ่านที่คุณ "โรม บุนนาค" รวบรวม-เรียบเรียงจากของเก่าไว้ อ่านแล้วจะร้อง อ๋อ...ว่าเพราะอย่างนี้เอง

...............................................

“โรม บุนนาค”

ก่อนจะอ่านเรื่องนี้ ขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ผู้เขียนไม่ได้เป็นผู้แต่งเรื่องนี้

แต่เก็บความหรือจะเรียกว่าคัดลอกมาก็ได้ จากหนังสือชื่อ “ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา” ฉบับแปลโดย พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์)

และยังแปลกใจว่า มีเรื่องอย่างนี้บันทึกไว้ในพงศาวดารของเขมรได้อย่างไร?

เมื่อวันก่อนเล่าพงศาวดารไทยที่จารึกเรื่องพระร่วงวาจาสิทธิ์มีกำเนิดเกิดจากต่อมโลหิตของพญานาคแล้ว เลยทำให้นึกถึงเรื่องนี้ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าพงศาวดารไทยเข้าไปอีก

ต้นฉบับเดิมของพงศาวดารฉบับนี้ "ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดย์" ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีตะวันออกชาวฝรั่งเศส ซึ่งเคยรับราชการอยู่ในกรมศิลปากรของไทย

ต่อมาไปทำงานให้ "สถาบันตะวันออกของฝรั่งเศส" ที่กรุงฮานอย ได้พบต้นฉบับที่เป็นภาษาเขมร

จึงนำมามอบให้ "หอสมุดวชิรญาณ" เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๙  ซึ่งทางหอสมุดได้มอบให้ "พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์" ผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมรแปล แล้วจัดพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๖๐

ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๑๓ สำนักพิมพ์แพร่พิทยาได้จัดพิมพ์เป็นครั้งที่ ๒ และใน พ.ศ.๒๕๕๐ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา จัดพิมพ์อีกครั้งที่ ๓

“พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์” (ทองดี ธนะรัชต์) ผู้นี้ ก็คือบิดาของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" นั่นเอง

ราชพงศาวดารฉบับนี้ มีอยู่ ๓ ตอน

ตอนที่ ๑ เป็นเรื่องตำนานครั้งดึกดำบรรพ์ กล่าวถึงเรื่องสร้างพระนครหลวง "นครวัด" เก็บมาจากเรื่องนิทานที่บอกเล่ากันมา

ซึ่ง "นักองค์นพรัตน์หริรักษ์ราชภูบดี" ราชบุตรของ "สมเด็จพระนโรดม" ทรงนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๐ เสริมข้างต้นพงศาวดารเดิมที่มีอยู่เพียง ๒ ตอน

ในเรื่องแรกของตอนที่ ๑ เปิดประเดิมด้วยเรื่อง “พระพุทธทำนาย” กล่าวความว่า

ปางเมื่อ "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ" มีพระชนมายุจวนครบถ้วน ๘๐ พรรษา ซึ่งเป็นกาลใกล้ที่พระองค์จะเสด็จเข้าสู่นิพพาน

ได้เสด็จพระราชดำเนินกระทำทักษิณาวรรตแห่งเกาะชมพูทวีป เลียบตามฝั่งมหาสาครเพียง ๒ องค์กับพระอานนท์

เมื่อเสด็จมาถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง กลางเกาะนั้น มีต้นหมันใหญ่ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง ที่ลำต้น มีโพรงที่พระยานาคมาทำไว้พัก

ส่วนพื้นดิน โคนต้นก็ราบเรียบดังหน้ากลอง ทรงนำพระอานนท์เข้าประทับที่โคนต้นหมันนั้น

ครั้นจวนถึงเพลาราตรี พระจันทร์แจ้งนภา รุกขเทวาผู้ซึ่งอภิบาลรักษาต้นหมันก็นิมิตเป็นสุวรรณปัจฐรณ์ที่บรรทม มีฟูกหมอนแพรพรมเครื่องปูลาดอันบริสุทธิ์สะอาด ถวายแด่องค์สมเด็จภควา

พอล่วงเข้าปฐมยาม พระยานาคได้นำบริวารขึ้นมาเล่นเช่นเคย ครั้นพบสมเด็จพระศาสดา จึงเข้าไปน้อมเศียรนมัสการขอพระธรรมวิเศษเทศนา

ซึ่ง "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ" ก็ทรงพระกรุณาสำแดงพระธรรมวิเศษเทศนาให้พระยานาคและบริวาร

ครั้นลุมัชฌิมยาม ฝูงเทพนิกรอมรเมฆ มี "สมเด็จพระหัสไนยอินทรา" เป็นต้น ได้พากันเหาะเหินเดินอากาศมาเฝ้า พากันกราบทูลข้อธรรมปัญหาที่ยังกังขาต่างๆ

จนลุปัจฉิมยามเป็นที่สุด บรรดาฝูงเทวบุตรเทวดาแลฝูงนาคีนาคา บางตนที่มีบารมีแก่กล้าก็สำเร็จมรรคผล ต่างพากันถวายอัญชลีลากลับไปสำนักแห่งตน

ลุเพลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พระพุทธองค์จึงตื่นบรรทม ทรงรำพึงถึงนิสัยในสัตว์โลกทั้งปวงตามพุทธกิจแล้ว ตรัสสั่งพระอานนท์ให้คอยอยู่ใต้ต้นหมัน

แล้วพระองค์จึงยุรยาตรปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบิณฑบาตยังดาวดึงส์ ครั้นได้อาหาร จึงเสด็จกลับคืนมา ทรงพระกรุณาแบ่งอาหารบิณฑบาตนั้นให้พระอานนท์ได้ฉันด้วย

ในขณะสมเด็จพระพุทธเจ้ากำลังเสวยพระกระยาหารอยู่นั้น สัตว์ตะกวดตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโพรงเก่าของพระยานาค ได้กลิ่นอาหารทิพย์ จึงคลานเข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  น้อมเกล้าฯ ถวายบังคม

“สมเด็จพระพุทธองค์” ก็ทรงพระกรุณาปั้นพระกระยาหารปั้น ๑ แล้วทรงโยนไปประทานสัตว์ตะกวดนั้น

ครั้นสัตว์ตะกวดได้บริโภคอาหารทิพย์ รู้สึกมีรสโอชา จึงแลบชิวหาเลียปากของตนเอง

“สมเด็จพระพุทธองค์” ทรงทัศนาเห็นลิ้นสัตว์ตะกวดที่แลบออกมาเลียปากนั้น แตกเป็น ๒ ซีก ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จะตรัสพยากรณ์

พระอานนท์เห็นพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ยกอัญชลีน้อมกราบบังคมทูลถามว่า

เมื่อได้ทรงเห็นสัตว์ตะกวดเลียปากแล้ว ทรงแย้มพระโอษฐ์ดังนี้ ยังจะมีเหตุการณ์เป็นฉันใดฤๅ

“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ” ทรงปรารภตรัสทำนาย บอกพระอานนท์ว่า

“ดูกรอานนท์เอ๋ย จำเดิมตั้งแต่นี้ต่อไปภายหน้า เกาะโคกหมันนี้ แผ่นดินจะงอกขึ้นอีกกว้างใหญ่ แล้วจะเกิดเป็นนครหนึ่ง

ซึ่งสัตว์ตะกวดมีจิตเลื่อมใสศรัทธามากราบถวายบังคมต่อองค์ตถาคต โดยอำนาจกุศลที่โสตประสาทได้ยินศัพท์สำเนียงพระสัทธรรมเทศนาแห่งตถาคต ในเมื่อแสดงให้พระยานาคและฝูงเทวาได้สดับตรับฟังนั้น

เมื่อสัตว์ตะกวดนี้สิ้นชีพแล้ว จะได้บังเกิดบนสวรรค์ แล้วจะได้จุติลงมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่ง ครองกรุงอินทปรัตนคร

และพระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้น จะได้เสด็จมาที่ตรงนี้ จึงพระยานาคที่ได้มาฟังพระธรรมเทศนานี้เอง

จะได้มาสร้างพระนครเป็นราชธานีใหญ่ให้แก่พระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นประทับ

แล้วขนานนามพระนครว่า "กรุงกัมพูชาธิบดี”

ส่วนนานาประเทศจะเรียก "เขมระภาษา" ลุกาลต่อไปภายหน้า พระอินทราธิราชจะได้มาสร้างปราสาทถวาย แล้วเรียกนามเมืองว่า "อินทปรัตนคร” เป็น ๒ ชื่อ

แลบรรดามนุษยชาติในพระราชธานีนี้ จะพูดจาสิ่งใดๆไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดิน มีชาติกำเนิดเกิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็น ๒ ซีก

ครั้นทรงตรัสทำนายเหตุการณ์ ณ ที่นั้นเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำนายเหตุการณ์ ณ ประเทศถิ่นที่อื่นๆ ต่อไป

จนบรรลุถึงนครกุสินารา เสด็จเข้าสู่ราชอุทยาน ประทับอยู่ภายใต้ต้นรังทั้งคู่ แล้วได้เสด็จเข้าสู่พระบรมนิพพาน

อ่านแล้วก็งงๆ เหมือนกัน ทำไมพงศาวดารเขมรจึงเก็บเรื่องนิทานแบบนี้มาบันทึก

ทั้งผู้บันทึกก็เป็นพระราชวงศ์ชั้นสูงของกัมพูชาเอง เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความคิดและความหมายของคนโบราณ จะแตกต่างกับความคิดความเข้าใจของคนในยุคนี้ ก็เลยเก็บเอามาเล่าสู่กันอ่าน.

.....................................

เมื่อรู้กำพืดอย่างนี้แล้ว จำไว้เลยเชียว เจอสองพ่อลูกเขมร จับมือได้ ไหว้กันได้ แต่ "ห้ามกอด"

เพราะกอดแล้ว "ติดเชื้อ" สองแฉกทันที

ดูสองพ่อลูกไทยไว้เป็นตัวอย่าง เพราะไปกอดกับตัวพ่อมา ก็เลยเป็นอย่างนี้...จนทุกวันนี้!

-เปลว สีเงิน

๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’

๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'

เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”

เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม

มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”

“มิตรในยามยาก”

“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้

‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’

แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก