
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ มันก็เป็นเหตุผลที่ฟังได้ ส่วนใครจะเชื่อไม่เชื่อว่ากันไป แต่อีกเรื่องที่คนให้ความฮือฮา กังวล โมโห เซ็ง และรู้สึกเหนื่อยใจ คือความ (ไม่) พร้อมของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขันซีเกมส์ที่เราเป็นเจ้าภาพ พร้อมเปิดงานในอีกเพียง 2 วันข้างหน้า
ผมก็คนหนึ่งที่มีอารมณ์ไปในทางลบและถอนหายใจเมื่อได้รับฟังข่าวคราวทั้งหลาย แต่ด่าไปก็เท่านั้น ต่อว่าไปก็เท่านั้น บ่นไปก็เท่านั้นครับ
เอาเข้าจริงเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะซ้ำเติมใคร หาเรื่องใคร และประณามใคร เพราะพูดไปไม่ได้ทำให้ปัญหาทั้งหลายดีขึ้น เวลานี้เป็นเวลาที่องค์กรและหน่วยที่รับผิดชอบต้องพับแขนเสื้อ ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว เพราะการเป็นเจ้าภาพเป็นหน้าเป็นตาของคนไทยทุกคน ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไร ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง ให้ทาสีตรงไหน ตอกตะปูตรงไหน ตัดพุ่มไม้เป็นลักษณะโลโก้ ผมก็ยอมทำ เพราะงานนี้เป็นงานของเราคนไทยทุกคน
สำหรับบรรดาพวกปากดีในโลกโซเชียล ด่าคนตอนนี้ก็เท่านั้น เราช่วยกันดีกว่า ช่วยกันจัดงานซีเกมส์ให้ดีที่สุด ถึงแม้พวกเราจะรู้สึกเซ็งกับเรื่องราวไร้สาระ ไร้ประสิทธิภาพของผู้จัดก็ตาม
เพื่อความสบายใจ เพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในใจ หรือปลอบใจ (แล้วแต่มุมมอง) วันนี้ผมจะหยิบยกตัวอย่าง 1-2 ประเทศที่ล้มเหลวจากการจัดงานการแข่งขันระดับจักรวาล ระดับโลก คือโอลิมปิกครับ เพื่อให้เห็นว่าของเราไม่แย่ขนาดนั้น…..อาจแย่และห่วยกว่าก็ได้ (ขอส่ายหน้าและถอนหายใจสักนิดก่อน)
ตอนแรกผมพยายามเสิร์ชหา “Hosting countries who failed in hosting sporting events” ส่วนใหญ่จะมีรายงานเกี่ยวกับข้อดี-ข้อเสียของการเป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬาระดับชาติ ว่างบที่ใช้ไปไม่คุ้มกับงานที่เสียไป แต่คนที่สนับสนุนบอกว่า ถ้าจัดได้ดีจะเป็นภาพบวกให้กับเจ้าภาพ ก็ว่ากันไปครับ แต่มีอยู่เจ้าหนึ่ง (Laurie L. Dove) เขียนบทความ (10 Olympic Games That Nearly Bankrupted their Host Countries) ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งผมไม่อยากจะเข้าไปเรื่องของบอลโลก เพราะผมมีความรู้สึกว่าในนั้นมีแต่สีเทา ไม่เทาก็ดำล้วนๆ และการคัดเลือกประเทศไหนให้เป็นเจ้าภาพ ไม่น่ามีหลักเกณฑ์หลักการอะไรเท่าไหร่นัก ซึ่งผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมว่าพวกเราคงคิดเหมือนๆ กัน
ในบทความนี้เขียนว่า มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้ทำงานวิจัยศึกษาการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกระหว่างปี 1962-2012 ว่าผู้เป็นเจ้าภาพทุกรายได้ใช้เงินเกินงบการคาดการณ์ถึง 179% (!!!) ซึ่งจะรวมทั้ง Winter กับ Summer Olympics ครับ ครั้งแรกที่เห็นประโยคนี้ผมคิดว่าคงมีแต่ประเทศประเภทโซเวียต หรือที่มาจากซีกตะวันออกของยุโรป รวมถึงประเทศยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไร แต่พ่อดูลิสต์รายชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เป็นประเทศระดับต้นๆ ของโลกเป็นหลัก
ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก มันเป็นกระบวนการที่ต้องแสดงศักยภาพของตนให้ดีที่สุด จะต้องให้คณะกรรมการ (IOC International Olympics Committee) เห็นว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง มีระบบคมนาคมที่ทันสมัยและสะดวก และมีความพร้อมในการรองรับคนจำนวนหลายหมื่นคน ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่ทุกเมือง ไม่ใช่ประเทศ จะมีความพร้อมขนาดนั้น
ยกตัวอย่างครับ ชิคาโกเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Summer Olympics 2016 ทุ่มเทงบประมาณกว่า 100 ล้านเหรียญฯ เพื่อโปรโมตและจัดกิจกรรมแสดงศักยภาพตนเองต่อ IOC แต่ในที่สุดแพ้ Rio de Janeiro ผมไม่อยากคิดเลยว่าถ้า Bangkok ใช้งบประมาณ 100 กว่าล้านเหรียญฯ เสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกกับเขาบ้าง และไม่ถูกคัดเลือก ผู้นำประเทศ ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาล จะโดนต่อว่าหนักแค่ไหน? สื่อจะเล่นงานเยอะและนานแค่ไหน? ทำไม่ชิงจะถูกกล่าวหาว่าไม่มีน้ำยา แต่ถ้าชิงและไม่ได้ ด้วยงบประมาณมหาศาลขนาดนั้น จะถูกด่าว่าไม่มีประสิทธิภาพ เปลืองงบประมาณ บลาๆๆ
ผมเห็นเวลานักการเมืองหรือหน่วยงานรัฐที่ไม่ค่อยนึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวมนั้น เวลาใช้งบหลวงเห็นแจกใช้อย่างเสรี เพราะไม่ใช่เงินของเขา ซึ่งถ้านึกถึงการจัดงานที่ล้มเหลวที่สร้างหนี้มหาศาล เรามักนึกถึงผู้บริหารที่ขาดวินัย หรือผู้บริหารที่เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองกับพวกพ้องใช่ไหมครับ? แต่กรณีของ Nagano Winter Olympics 1998 ไม่ได้เป็นเช่นนั้น หรือถึงแม้เป็นก็อาจไม่มากอย่างที่คิด เพราะเมือง Nagano กับผู้จัดมีความตั้งใจและมีแผนฟื้นฟูภูมิภาคผ่าน Winter Olympics ครั้งนั้นเพียงแต่ไม่ได้รับผลอย่างที่คาดการณ์ไว้
Nagano มีประชากรประมาณ 400,000 คน ห่างจาก Tokyo ประมาณ 250 กิโลเมตร ถ้าขับรถไปใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถ้ารถไฟธรรมดานั่งประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเป็นรถบัสใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ (ตีซะว่ากรุงเทพฯ-โคราชครับ) ทางผู้จัดมีความเห็นว่าถ้ามีรถไฟความเร็วสูงจะตัดระยะเวลาให้เหลือเพียง 90 นาทีระหว่าง 2 เมือง เลยน่าจะเป็นจุดขายทำให้คนมาดูการแข่งขันที่ Nagano เป็นจำนวนมหาศาล
นั่นคือจุดขายของเขา ในที่สุดเขาใช้งบประมาณเกือบ 11 หมื่นล้านเหรียญฯ ในการเตรียมเป็นเจ้าภาพ เพราะสร้างรถไฟความเร็วสูงระหว่าง Nagano กับ Tokyo ครับ
ซึ่งเป็นแผนที่ดี มีเหตุผล มีหลักการ หลังได้รับอนุญาตจาก IOC เป็นเจ้าภาพขึ้นมา ทางคณะกรรมการโอลิมปิกของ Nagano ได้เดินหน้าจองโรงแรมเกือบ 20,000 ห้อง เพื่อเตรียมรองรับคนที่จะมาโอลิมปิกในครั้งนั้น ไม่มีอะไรล่าช้า ไม่มีประเภท 2 วันก่อนเปิดงาน ไฟในสนามขาดหลายดวง ทีม 2 ฝ่ายต้องร้องเพลงชาติตนเอง คนจองตั๋วดูกีฬาดูไม่ได้เพราะไม่มีที่นั่ง มีแต่บันได ไม่มีอะไรที่ทุเรศออกแนวนั้นครับ แต่แผนที่วางไว้อย่างดี ที่คาดการณ์อย่างดี กลับผิดพลาด เพราะอำนวยความสะดวกเกินคาด
รถไฟความเร็วสูงที่สร้างไว้ อำนวยความสะดวกจริงครับ ทำให้ย่นระยะเวลาและระยะทางระหว่าง 2 เมืองจริง เลยทำให้คนไม่มีความจำเป็นต้องนอนใน Nagano เพราะสามารถนอนใน Tokyo และนั่งรถไฟความเร็วสูงไป Nagano ไปกลับทุกวันได้ เลยทำให้ผู้จัดต้องยกเลิกห้องที่จองไว้เกือบ 20,000 กว่าห้องใน Nagano ทำให้เมืองรอบๆ ที่เป็นแหล่งเล่นสกีที่แน่นทุกปีอยู่แล้วต้องสูญเสียรายได้เพราะคนไม่เที่ยว เนื่องจากต่างคนต่างกลัวคนมหาศาลที่จะไป Nagano Olympics ในครั้งนั้น คนหลีกเลี่ยงที่จะไปเล่นสกีตามฤดูกาล เลยทำให้เงินมหาศาลที่คาดการณ์ว่าจะเข้าจึงไม่เข้าเป้าเลย อย่าว่าแต่ไม่เข้าเป้า ไม่อยู่จักรวาลเดียวกันด้วยซ้ำ
นอกจากนั้นในช่วงกำลังจีบคณะกรรมการ IOC ฝ่ายคณะกรรมการจาก Nagano ได้ดูแลขณะ IOC อย่างเต็มที่ เวลาเขาจะมาเยือนญี่ปุ่น ซื้อตัว 1st class ให้ทุกคน ทุกราย ทุกครั้ง จองโรงแรมหรูๆ ห้องสวีตใหญ่ๆ และดูแล “entertainment” เต็มที่ เลยไม่รู้ว่างบที่ใช้ไปจริงๆ จังๆ มันอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะหนึ่งในคณะกรรมการ Nagano ได้มีคำสั่งทำลายหลักฐาน ทำลายใบเสร็จทุกชนิดตอน “จีบ” คณะ IOC ซึ่งเขาแถลงว่าเขาใช้งบประมาณประมาณ 18 ล้านเหรียญฯ “เท่านั้น” แต่สื่อคาดการณ์ว่าน่าจะใช้ประมาณ 70 ล้านเหรียญฯ มากกว่า
ที่อื่นก็มีปัญหาหนักกว่านั้น อย่างเช่น Athens Summer Olympics 2004 ที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่างบประมาณการเตรียมและการจัดโอลิมปิกอยู่ที่ประมาณเกือบ 5000 ล้านเหรียญฯ แต่สื่อคาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่เกือบ 20,000 ล้านเหรียญฯ มากกว่า
เพราะทาง Athens ต้องสร้างสนามสำหรับกีฬาโดยเฉพาะ เช่น สนามวอลเลย์บอลชายหาด เป็นต้น พอการแข่งขันหมดไป สนามเหล่านั้นถูกทอดทิ้งและไม่มีใครใช้ต่อ ซึ่งในบทความนี้เขียนอีกว่า มีร้านอาหารพิเศษร้านหนึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรับรองและดูแลแขกและนักกีฬาโอลิมปิกโดยเฉพาะ ซึ่งสร้างครัวใหม่ อุปกรณ์ใหม่ ออกแบบตกแต่งเต็มที่ แต่ในที่สุดเปิดใช้เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่ได้เปิดรับรองแขกหรือนักกีฬาที่มาแข่ง เขาเปิดเพื่อรับรองนายกรัฐมนตรีกรีซเท่านั้น ซึ่งการแข่งขัน Athens Summer Olympics 2004 ยังมีผลกระทบกับประเทศจนถึงบัดนี้ มีหลายคนวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจล้มเหลวในปี 2009
ผมแนะนำให้แฟนคอลัมน์ลองหาบทความนี้ เพราะเป็นการให้ความรู้ที่น่าสนใจในเรื่องที่เราไม่เคยรู้ แต่อาจเคยสงสัย ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าการเป็นเจ้าภาพกีฬายิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเรามีประสิทธิภาพจริง ถ้าเรามีความพร้อมจริง มันดึงภาพพจน์ของเราให้สู่ระดับอินเตอร์ครับ ในยุคนี้และในอนาคตเราจำเป็นต้องทำ เพราะจะให้อยู่ระดับตำบล ระดับอำเภอ ต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าอยากจะก้าวหน้า ถ้าอยากมีที่นั่งในเวทีโลก เราจะต้องมีอะไรเสนอโลกมากกว่าแหล่งท่องเที่ยว มวยไทย และอาหารไทย
ถ้าเราอยู่ระดับโลกจริงๆ ถ้าเราอยากอยู่ในระดับโลกจริงๆ เราต้องมีคุณภาพและกฎเกณฑ์ระดับโลก ระดับอินเตอร์ครับ ไม่ใช่มีปัญหาซ้ำซากเหมือนการจัดการซีเกมส์ในครั้งนี้ ที่ผมเชื่อว่าในรอบต่อไป ถ้าเราไม่มีอะไรปรับปรุง เปลี่ยนแปลง มันจะเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง ซึ่งน่าเสียดายและน่าโมโหจริงๆ เพราะศักยภาพนักกีฬาของเราไปได้ไกล และมาได้ไกลมาก เสียดายผู้มีอำนาจ องค์กร และหน่วยงานที่ควรสนับสนุนพวกเขาขาดประสิทธิภาพครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน
ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9
พรุ่งนี้ครบรอบ 9 ปีวันสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9 (ของเรา) ผมขอออกตัวว่าจะขออนุญาตใช้คำศัพท์ง่ายๆ ในวันนี้ บอกตามตรงว่าผมไม่แม่นราชาศัพท์ครับ

