
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าจะถึงจุดนี้ และไม่น่ามีด้วยซ้ำ เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไรครับ?
เรามาถึงจุดที่เพื่อนบ้าน 2 ประเทศ ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นเรียบร้อย แต่ไม่ถึงกับเกลียดชังและพร้อมฆ่ากันเหมือนทุกวันนี้ คนทั้ง 2 ฝ่ายต้องสูญเสียชีวิต ต้องอพยพออกจากบ้าน ต้องรับผลกระทบมากมาย เพราะอะไร? มีใครตอบสักทีได้ไหมว่าเราต่อสู้กัน รบกัน เรื่องอะไร?
เพียงเพราะผู้นำ 2 ตระกูลไม่ลงรอยกันเท่านั้น ตรงนี้ละทำให้เศร้าใจ คนตาย คนอพยพ ประเทศชาติเสียหายทั้ง 2 ประเทศ เพียงเพราะ
ผลประโยชน์ไม่ลงตัว ผมไม่รู้จะสาปแช่งอย่างไร ไม่รู้จะประณามอย่างไร และไม่รู้จะด่าอย่างไร ความเห็นแก่ตัวของ 2 ตระกูล ทำให้คนทั่วประเทศต้องสู้รบกัน อันนี้บาปยิ่งกว่าขายชาติ อันนี้ทั้งขายชาติโดยเอาชีวิตคนในชาติบ้านเมืองมาเดิมพันอีกต่างหาก นอนหลับอย่างไงไม่รู้ และคนที่เชียร์คนเหล่านี้ภูมิใจตัวเองมากไหม?
วันนี้ขออนุญาตออกจากพื้นที่ชายแดนสักพักนึงครับ แล้วพูดเรื่องที่ (อาจ) จะเปลี่ยนโลก
ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป (ซึ่งเป็นวันที่ผมเขียนคอลัมน์) อาจเป็นวันที่ต้องจารึกว่าโลกปัจจุบันของเรามีการเปลี่ยนแปลง เพราะที่ออสเตรเลีย วันนี้เป็นวันแรกที่กฎหมาย Social Media Ban จะเริ่มถูกบังคับใช้ ซึ่งหลายคนคงตามข่าวคราวว่าการแบนในครั้งนี้มันคืออะไร และเป็นเรื่องอะไร ถือเป็นเรื่องฮือฮาและเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เพราะถ้าออสเตรเลียประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ประเทศอื่นคงจะยกเป็นต้นแบบและตัวอย่าง
การแบนในครั้งนี้คือแบนเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้โซเชียลมีเดีย 10 แพลตฟอร์ม ดังต่อไปนี้ : Facebook, Instagram, Snapchat, Threads, TikTok, X, YouTube, Reddit, Kick และ Twitch เหตุผลเพราะทางรัฐบาลออสเตรเลียมีความเห็นว่า แพลตฟอร์มตามโซเชียลมีเดียเหล่านี้เป็นภัยต่อเยาวชน เปิดโอกาสให้ผู้หวังไม่ดีเริ่มทำอนาจารทางออนไลน์ หลอกลวง Cyberbully และสิ่งที่น่ากลัวคือ grooming เพื่อหวังเจอในชีวิตจริง และหรือแบล็กเมลรูปจากเด็กที่ตามพวกเขาไม่ทัน
นอกจากนั้น มีความกังวลว่าการที่ไม่มีมาตรการครอบคลุมหรือควบคุม screentime ของกลุ่มเด็กเหล่านี้ จะทำให้เขาเจอแต่คอนเทนต์ที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสมทางเพศ รวมถึงทำให้โฟกัสของเด็กสั้นลง ซึ่งในยุคนี้เราเห็นได้ชัดว่าบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายมีความหลากหลายในตัว บางคนที่มีจิตสำนึกและเป็นมืออาชีพ ก่อนจะโพสต์อะไร เขาคงไตร่ตรองไว้ก่อน
แต่ในอีกด้านหนึ่งมีอินฟลูเอนเซอร์และยูทูบเบอร์ที่ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น คิดอย่างเดียวคือ ขอให้มียอดไลก์ ยอด subscriber สูงๆ จะได้มีรายได้เข้ามามหาศาล เลยไม่สนว่าโพสต์อะไรไปแล้วจะมีผลกระทบกับคนดูหรือไม่ ประเภทกินอาหารปริมาณที่ยักษ์หลายตัวกิน หรือประเภทท้าคนชกต่อย เพื่อให้คนดูเยอะๆ ในยุคนี้ ยูทูบเบอร์และอินฟลูเอนเซอร์มีสารพัดต่างๆ นานา ส่วนใหญ่จะเสียงดัง และมีการตัดต่อเพื่อให้โพสต์ดูน่าสนใจ ลูกผมชอบดู แต่ผมโชคดีที่พอลูกดูนานๆ เขาจะเริ่มรู้สึกรำคาญไปเอง
สำหรับใครที่มีลูกหลานอายุราวๆ ลูกผม คงรู้จัก Roblox ใช่ไหมครับ?
เด็กทุกคนในยุคนี้บ้าคลั่งเกมนี้อย่างแรง (ผมไม่เข้าใจว่าทำไม) นอกจากเล่นเกมได้ ยังมีห้องพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งถ้ามองตามเนื้อผ้า ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี คนที่เราไม่รู้จักมาเล่นด้วยกัน และทำให้รู้จักกัน แต่ตามความเป็นจริง ลูกพวกเราเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีได้ เพราะในห้อง Chat ล้วนเป็นกลุ่มเพื่อนฝูงที่รู้จักกัน เล่นกันและพูดคุยกัน ถือว่าสนุก และลูกผมกับเพื่อนๆ เล่นกันสนุก แต่ถ้าเข้าห้องอื่น เต็มไปด้วยคนที่ไม่รู้จัก และมีคนนี้คนโน้นมาคุย ตรงนั้นละครับน่าเป็นห่วง
ตอนลูกชายผมเริ่มเล่นใหม่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าอะไร เขาไม่ได้เล่นกับเพื่อน เขาไปในห้องอื่น มีคนคนนึงถามชื่อ ถามบ้านอยู่แถวไหน ซึ่งโชคดีมากที่พี่สาวเขาเห็นพอดี เลยรีบเตือนน้องชายว่าอย่าคุย อย่าเปิดกล้อง และอย่าเปิดเผยอะไรทั้งสิ้น ดีที่สุดคือออกจากห้องนั้น และไม่ต้องพูดอะไรกับใครที่ไม่รู้จัก ผมเลยรอดไป และเขาจำจนถึงวันนี้ครับ
แต่มีหลายครอบครัวที่ไม่โชคดีอย่างผม มีหลายกรณีที่ถูกหลอก ถูกละเมิด (ทางออนไลน์) และถูก Bully เพียงเพราะเปิดช่องทาง Chat ตามห้องต่างๆ โดยไม่รู้ตัว ในฐานะผู้ปกครองเราอยากปกป้องลูกเต็มที่ และพวกเราพยายามทำเต็มพลัง เต็มใจและเต็มความสามารถ แต่จะปกป้องเขาตลอด 24 ชั่วโมงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งในโลกโซเชียลยิ่งยากเข้าไปใหญ่ครับ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือให้ความรู้เขา เตือนเขา แล้วให้เขาระวังสิ่งที่ไม่ใช่
บางคนอาจคิดว่า Bullying ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญนัก แต่สำหรับเด็กและวัยรุ่น ถ้าไม่เข้มแข็งพอ เมื่อโดน Bully และ/หรือ Cyberbullying เยอะๆ อาจเป็นจุดชนวนทำให้คิดฆ่าตัวตาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้ง และเกิดผ่านออนไลน์ครับ
คำถามหนึ่งที่หลายคนตั้งขึ้นมาคือ เมื่อเป็นกฎหมายแล้วจะบังคับใช้อย่างไร ใครจะเป็นคนควบคุม? ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ IG ในที่สาธารณะ หรือแม้แต่ในบ้าน ตำรวจจะบุกจับอย่างงั้นเลยเหรอ? ไม่ใช่ครับ ผู้ปกครองกับเด็กจะไม่มีการลงโทษอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าของแพลตฟอร์มทั้งหลายต่างหากจะเป็นผู้ถูกปรับแทน ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นรายครั้ง หรือเมื่อมีเหตุการณ์หลายๆ ครั้งเกิดขึ้นถึงจะปรับ อันนี้ผมไม่รู้ เพราะในข่าวเขียนแค่ว่าเจ้าของแพลตฟอร์มจะถูกปรับเป็นเงินจำนวน 32 ล้านเหรียญฯ US (49.5 เหรียญออสเตรเลีย) เมื่อเกิดความผิดซ้ำซาก หรือความผิดร้ายแรง
กฎหมายฉบับนี้บอกว่ามันเป็นหน้าที่ของเจ้าของแพลตฟอร์มที่ต้องหามาตรการควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ต่อเมื่อเขาเป็นต้นเหตุทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเอง เขาต้องมีส่วนแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง face หรือ voice recognition หรือมาตรการอื่นๆ เป็นหน้าที่และเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของแพลตฟอร์มที่ต้องหามาตรการขึ้นมา เนื่องจากโกยกำไรและเอาเปรียบสังคมเป็นเวลายาวนาน ทางรัฐบาลออสเตรเลียมีความเห็นว่า พอแล้วที่กลุ่ม Big Tech จะไม่คิดทำอะไรและไม่คิดช่วยสังคม พอแล้วที่จะร่ำรวยเอาๆ คู่ขนานกับทำให้สังคม เยาวชนและวัยรุ่นต้องรับความอันตรายมากยิ่งขึ้น
ทางรัฐบาลออสเตรเลียยอมรับว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นกฎหมายที่บังคับใช้ได้ง่ายๆ และรู้แก่ใจว่าเด็กสมัยนี้ยังไงก็จะหาช่องทาง ช่องโหว่ เข้ามาแพลตฟอร์มจนได้ แต่เขาบอกว่าเขานั่งอยู่นิ่งๆ เห็นสังคมเสื่อมลงไม่ได้ เลยต้องมีมาตรการบางอย่างให้เป็นบรรทัดฐาน เพื่อต่อสู้กับภัยที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาเจ้าของแพลตฟอร์มทั้งหลายต่อต้านยิ่งกว่าอะไร เพราะถ้าออสเตรเลียประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ประเทศอื่นจ่อเลียนแบบแน่ เพราะภัยที่เกิดผ่านโซเชียล ผ่านแพลตฟอร์ม เป็นภัยข้ามชาติจริงๆ เป็นภัยไร้พรมแดน
ประเทศอื่นๆ ที่มีแนวความคิดใกล้เคียงกันคือ อังกฤษ พยายามออกมาตรการและกฎหมายให้ปรับและลงโทษเจ้าของแพลตฟอร์มที่ขาดมาตรการป้องกันและปกป้องเยาวชนและวัยรุ่น ส่วนฝรั่งเศส พยายามจะมีแบนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียลมีเดีย หรือควบคุมเวลาใช้โซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุ 15-18 ปี ที่สเปน กำลังร่างกฎหมายให้เด็กทุกคนที่อยากใช้โซเชียลมีเดียจะต้องรับอนุญาตและมีความยินยอมจากผู้ปกครอง ส่วนเดนมาร์กกับนอร์เวย์ กำลังร่างกฎหมายคล้ายๆ กับของออสเตรเลียครับ
การบังคับใช้กฎหมายนี้ไม่ง่าย และดีไม่ดีการวัดว่าเจ้าของแพลตฟอร์มทำผิด หรือละเมิดกฎหมายฉบับนี้ ไม่รู้จะวัดอย่างไร เพราะเด็กสมัยนี้ ถ้าอยากหาทาง เล่นเน็ต เล่นโซเชียล เขาจะหาทางจนได้ ถ้าเป็น facial recognition ไม่ยากครับ เอารูปสมัยพ่อแม่ยังหนุ่มสาวมาใช้ก็ผ่าน
แต่เจตนาของกฎหมายฉบับนี้ดีมาก วันนี้เป็นวันแรกที่กฎหมายนี้ “เกิด” มันต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะเห็นผลครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม
Back to the Future…
กราบสวัสดีแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมค่อยเล่า วันนี้ขออนุญาตเป็นเรื่องเบาๆ ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าไร้สาระ หรือน่าหมั่นไส้ก็ได้ แต่ขอสักวันละกัน

