
เผลอแป๊บเดียวจะสิ้นปีอยู่แล้ว และเผลอแป๊บเดียวจะเข้าฤดูกาลเลือกตั้งด้วย
หลายคนอาจคิดว่า เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้าดำรงตำแหน่ง เป็นอันเข้าใจอยู่แล้วว่าการเลือกตั้งจะต้องมีแน่ๆ เร็วๆ นี้ แต่ยอมรับว่า ไม่ได้นึกว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เปรียบเสมือนยุคโควิด
พอจำกันได้ไหมครับ? ตอนนั้นเราเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโควิด มีการประชาสัมพันธ์ทุกวี่ทุกวัน ว่าเมื่อตรวจและเจอ 2 ขีด เราจะต้องทำอะไรบ้าง ตามข่าว ตามข้อมูล เขาบอกละเอียดว่าเราจะต้องทำ 1 2 3 4 ซึ่งในฐานะคนตามข่าวและเก็บข้อมูล ผมไม่ได้กลัวอะไรมาก เพราะคิดว่าชัดเจนและทำตามได้
แต่ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเหมือนผม ว่าข้อมูลจะชัดขนาดไหน อย่างไร ละเอียดยิบอย่างไร เราโม้ว่าเราพร้อนขนาดไหน เมื่อเจอ 2 ขีดปุ๊บ อาการมึนงงมาทันที จากที่เคยโม้ว่ารู้เรื่องทุกอย่าง พอเจอ 2 ขีดจริง ไปไม่ถูก
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าชุดนี้อยู่ไม่ถึงสิ้นเดือนมกราคม และมีข่าวตลอดว่าโอกาสยุบสภาก่อนกำหนดมีสูง แต่พอมีมาจริงๆ เหมือนไปไม่ถูกเหมือนกันครับ
วันนี้เป็นคอลัมน์สุดท้ายที่จะเขียน คงไม่ใช่ตลอดนิรันดรหรอก แต่จะเป็นคอลัมน์สุดท้ายจนกว่าการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ จะเสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ เพราะหลายท่านคงทราบว่าผมลงสมัครการเลือกตั้งครั้งนี้ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ครับ ผมเลยคิดว่าช่วงหาเสียง
ผมควรเว้นการเขียนสักพักดีกว่า เพื่อไม่ผิดกฎกติกาและกฎหมายการเลือกตั้ง
ทั้งที่จริงแล้ว ถ้าผมไม่เขียนเชียร์ หรือหาเสียง ไม่น่าจะมีปัญหา หรือประเด็นอะไร มีบางคนบอกว่าถ้าตั้งใจให้ความรู้และเป็นงานประจำอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเว้น นอกจากว่าเขียนเชียร์ตัวเองและพรรค ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
อย่าดีกว่า ทำไปก็เสี่ยงโดยใช่เหตุ เลยขอแจ้งแฟนคอลัมน์ว่าเราจะไม่เจอกันประมาณเกือบเดือนกว่าๆ ครับ
แต่ก่อนที่เราจะจากกันชั่วคราว ผมมีเรื่องอยากพูดถึงครับ คือเรื่องราวอาชีพ Lobbyist
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีข่าวอะไรที่ทำให้คนทั่วประเทศถึงบางอ้อพร้อมกัน นอกจากเอกสารที่ชี้ชัดว่ากัมพูชาจ้างบริษัท Lobbyist ในสหรัฐ เพื่อเป็นตัวแทน เป็นกระบอกเสียง และทำ “กิจกรรม” แทน ซึ่งคำว่า Lobbyist โดยทั่วไปในประเทศอื่นๆ ในโลกที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา คำนี้มีความหมายออกไปในทางค่อนข้างหลบครับ ภาพพจน์คือผู้ลี้ลับถือถุงขนมไปที่สภา เพื่อแจกขนมให้กับบรรดาสมาชิกสภาทั้งหลาย เพื่อให้ “เรื่องราว” ตัวเองผ่านฉลุย
Lobbyist ในความเข้าใจหลายคนคือ ผู้มีเส้นสายและความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ ถือว่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างแวดวงธุรกิจกับแวดวงการเมืองในประเทศอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐ ถ้าบอกว่าคุณเป็น Lobbyist เขาจะคิดว่าคุณคลุกคลีกับเรื่องเทาๆ ซึ่งเทาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ยาเสพติด อบายมุขที่ผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ หรือแม้แต่สแกมเมอร์ แต่เทาในที่นี้หมายความว่า การเอาเงินหรือผลประโยชน์เป็นที่ตั้งเวลาจะเจรจาและต่อรองกับนักการเมือง และดีไม่ดีเอาผลประโยชน์และเงินมาเป็นตัวชี้วัดการซื้อโหวตของนักการเมืองด้วยซ้ำ
ในสหรัฐคำว่า Lobbyist ถึงแม้อาจมีภาพพจน์เช่นนั้นก็ตาม เขาไม่ได้เป็นอาชีพลี้ลับครับ
ไม่ได้เป็นอาชีพเทา และไม่ได้เป็นอาชีพที่ต้องเป็นอีแอบอะไรกับใคร เป็นอาชีพถูกกฎหมาย เป็นอาชีพเปิดเผย และเป็นอาชีพที่ต้องมีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่คนรู้ว่าเป้าหมายของการทำงานคืออะไร แต่ไม่ได้เป็นอาชีพที่คนรังเกียจ อาจเป็นอาชีพที่คนมีภาพพจน์ลบก็จริง แต่ไม่ผิดกฎหมายเลย
ในสหรัฐ บริษัท Lobbyist มีเยอะมาก ยิ่งเฉพาะในเมืองหลวง (Washington D.C.) แทบทุก 100
เมตรมีบริษัท Lobbyist พร้อมตอบสนองความต้องการของ (ว่าที่) ลูกค้า ดังนั้นไม่เป็นสิ่งที่แปลกว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้จะจ้างอดีตสมาชิกสภา (ทั้งล่าง ทั้งบน) เป็นผู้บริหาร ที่ปรึกษา หรือให้อยู่บอร์ด เพราะคนเหล่านี้รู้จักระบบสภา และยังมีเครือข่ายอยู่บ้าง
สิ่งที่หลายท่านต้องเข้าใจคือ อำนาจที่แท้จริงในสหรัฐไม่ได้อยู่ที่ทำเนียบขาว ไม่ได้อยู่ในมือของประธานาธิบดี แต่ที่แท้อำนาจของสหรัฐอยู่ที่สภาครับ เพราะสภาคุมงบประมาณของสหรัฐทั้งหมด งบของกระทรวง ทบวง กรม ทุกหนแห่ง ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาทุกหยด แม้แต่ประธานาธิบดียังต้องแบมือขอ และถ้าสภาไม่ให้
ประธานาธิบดีก็ทำอะไรไม่ได้
ยิ่งถ้าเป็นกรรมาธิการงบประมาณ และกรรมาธิการ Appropriations คณะกรรมการเหล่านั้นมีอำนาจล้นฟ้า เพราะกรรมธิการเหล่านั้นคุมเม็ดเงินและงบประมาณแท้ๆ ผมขอบอกอะไรอีกอย่าง บรรดา Lobbyist รู้ว่าการเข้าถึงสมาชิกสภาก็ได้เท่านั้น คนที่เป็นเป้าหลักไม่ใช่ตัวสมาชิก แต่เป็นทีมงานสมาชิกสภาต่างหาก
ทีมงานนี้ละจะเป็นคนร่างกฎหมาย ค้นหาข้อมูล และในหลายครั้ง จะเป็นคนคิดจุดยืนให้สมาชิกสภาแทน ดังนั้นการเข้าถึงคนเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะสมาชิกสภาอาจไม่มีเวลา หรืออาจไม่มีความสนใจพอที่จะคิดสิ่งเหล่านี้เอง
ก่อนที่ผมจะวกกลับเข้าแวดวงการเมือง ผมทำหน้าที่เป็น Country Chairman ของไทย (ก่อนหน้านั้นเป็น Country Director) ของบริษัท Vriens and Partners ซึ่งเป็นบริษัท Government
Relations Consultancy ที่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา และวางยุทธศาสตร์ให้บริษัทข้ามชาติที่อยากทำงานในประเทศไทย (ความจริงบริษัทนี้มีออฟฟิศอยู่ทั่วอาเซียน แต่ผมดูแลส่วนของไทย)
ตอนที่ผมอยู่กับเขา เมื่อเราอธิบายว่าบริษัททำอะไร หลายคนจะพูดเชิงถามว่า “Oh. So you are a lobbyist?” เมื่อถูกคำถามนี้ทีไร ผมไม่ถือ และผมไม่ว่าอะไร แต่ผู้เป็นเจ้าของบริษัทนี้ไม่ทนและจะระเบิดทุกครั้งเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็น Lobbyist เพราะในสายตาเขา Lobbyist ล้ำเส้นจริยธรรมระหว่าง Consultant กับ Lobbyist
ความแตกต่างคือ Consultant ให้คำปรึกษา หาข้อมูล และวางยุทธศาสตร์สำหรับโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง Lobbyist ทำเหมือนกัน เพียงแต่ Consultant จะไม่บอกว่าเราจะทำทุกวิถีทาง หรือแนะนำวิถีทาง ปรับเปลี่ยนกฎหมาย หรือกฎระเบียบ เพื่อคุณจะได้งาน ตรงนั้นแหละคืองานหลักของ Lobbyist
เป็นการเล่นคำ หรือเอาดีใส่ตัว แต่มันคือความแตกต่างจริงๆ ครับ
ดังนั้นไม่แปลกใจที่กัมพูชาดูเหมือนจะพร้อมกว่าเราในเวทีโลก ทำไมเวลาเขามีอะไร เขาสามารถยื่นให้กรรมาธิการ หรือองค์กรระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว? ทำไมมีสื่อต่างชาติพร้อมรายงานข่าวจากฝ่ายเขาอย่างมีประสิทธิภาพ? ไม่ใช่เพียงเพราะฝ่ายเราเป็นฝ่ายรับ แต่เป็นเพราะเขามีคนวางเกมให้
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาหรือยังที่ไทยเราควรจะเข้าใจเกมนี้บ้าง?
ในอีกเดือนกว่าๆ เราคงได้เจอกันในพื้นที่ตรงนี้อีก ซึ่งผมไม่รู้ว่าผมจะมีสถานะอะไรตอนนั้น
แต่ผมจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมยังเป็นคนเดิมที่แฟนคอลัมน์รู้จัก และ (หวังว่า) ชอบครับ
เจอกันอีกทีใต้ฟ้าวันใหม่ ขอให้ทุกท่านโชคดีปีใหม่ครับ สวัสดีครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
10ธันวาคมเป็นวันเปลี่ยนโลก?
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าจะถึงจุดนี้ และไม่น่ามีด้วยซ้ำ เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไรครับ? เรามาถึงจุดที่เพื่อนบ้าน 2 ประเทศ ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นเรียบร้อย แต่ไม่ถึงกับเกลียดชังและพร้อมฆ่ากันเหมือนทุกวันนี้ คนทั้ง 2 ฝ่ายต้องสูญเสียชีวิต ต้องอพยพ
SEA Games แบบไทยๆ
คงไม่มีข่าวอะไรที่คนสนใจเท่ากับเรื่องผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจหลายท่านมีรูปถ่ายกับเบน สมิธ ซึ่งถ้าโลกสวยเมื่อบุคคลเหล่านี้บอกว่าไม่รู้จักเขา เพียงถ่ายรูปเฉยๆ
ถ้าต้นไม้ล้มในป่าแล้วคนไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ลงรูปลงโซเชียล…จะมีเสียงไหม?
“ต้นไม้ที่ล้มในป่าจะมีเสียงหรือไม่ หากไม่มีคนอยู่ในที่นั่น?” หรือเป็นภาษาอังกฤษคือ “If a tree falls in a forest and no-one is around to hear it, does it make a sound?”
'คำพูดเป็นนายเรา'ยังจริงไหม?
เรื่องการกลับลำของประธานาธิบดี Donald Trump เกี่ยวกับ Epstein Files ผมว่าตลกดี เพราะตั้งแต่เป็นประธานาธิบดี Trump พูดแล้วพูดอีกว่า
'Thailand. Taiwan? Thailand. Taiwan?' Ok, yes. Taiwan.'
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องที่คนไทยทุกคนที่เคยใช้ชีวิตในต่างแดนเจอทุกๆ คน ยิ่งต่างแดนที่เป็นเมืองฝรั่งๆ หน่อย ผมกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าคนไทย 100% ต้องเจอทุกคน
SNAP ดีหรือไม่ดี?
ในที่สุดท่าทีการยุติ Government Shutdown ในสหรัฐที่จะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่เพราะความพยายาม หรือการประนีประนอม

