การดำเนินการตามถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชา ซึ่งได้ลงนามกันทางมาเลเซีย โดยมี “โดนัลด์ ทรัมป์” นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยาน ในประเด็นร้อนเรื่องการถอนอาวุธ ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่โปร่งใส หรือมีคำถามเรื่องการปกปิด อำพรางซ่อนเร้นหรือไม่ อีกทั้งมีหลักประกันอะไรที่จะไม่มีการเคลื่อนย้ายอาวุธร้ายแรงที่เป็นภัยคุกคามกับไทยกลับมาอีก
แต่ในกลไกการทำงาน 2 ฝ่ายที่มี AOT หรือผู้สังเกตการณ์จากชาติอาเซียนเข้ามาตรวจสอบ รวมถึงการจับตามองของสหรัฐ ที่ต้องการ “ปิดจ๊อบ” การสร้างสันติภาพเป็นผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ โดยยังมีเรื่อง “ภาษี” เป็นแรงบีบ จึงเชื่อได้ว่าในวันนี้กัมพูชาได้ดำเนินการจริง เพื่อโชว์ให้เห็นภาพความเป็น “เด็กดี” ขัดกับพฤติกรรมเดิมที่เป็นอยู่
เงื่อนไขสำคัญคือ ที่สหรัฐและอาเซียนให้ความสนใจคือเรื่อง “เชลยศึก” ซึ่งไทยพร้อมจะปล่อยได้ทุกเมื่อ แต่ช่วงที่ผ่านมากระแสสังคมไม่เอื้อให้รัฐบาล หรือกองทัพ “อ่อนข้อ” ดังนั้นการปล่อยเชลยศึกจึงยังเป็นเรื่องร้อน จึงมีการตอกย้ำว่าเมื่อ 4 ข้อได้รับการปฏิบัติจนเห็นเป็นรูปธรรม ฝ่ายเราจึงจะดำเนินการปล่อยตัว
แต่ในการหารือที่กัวลาลัมเปอร์ มีการตีกรอบในเรื่องของห้วงเวลาปล่อยตัวพอสมควร โดยกำหนดให้ไทยดำเนินการในช่วงของการถอนอาวุธ เฟส 1 ประเภทจรวดหลายลำกล้อง และปืนใหญ่ 155 มม. คือระหว่างวันที่ 1-21 พ.ย. ซึ่งไทยขอให้กัมพูชาดำเนินการให้จบเฟสเรียบร้อย และ AOT ยืนยัน
โดยมีรายงานว่า ในวันที่ 12 พ.ย.นี้จะมีการปล่อยเชลยศึกทั้ง 18 คน ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เพราะกัมพูชาได้ถอนอาวุธในเฟสที่ 1 เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา และจะดำเนินการในเฟสที่ 2 ในวันที่ 7 ต.ค.นี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม จึงเป็นเหตุที่นำไปสู่การปล่อยเชลยศึกที่เร็วกว่ากรอบเวลาที่วางไว้
ส่วนประเด็นการประสานงานและดำเนินการ “เก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดน” เกิดเหตุการณ์ทหาร “กัมพูชา” ขัดขวางการปฏิบัติงานของหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมที่ 3 (นปท.3) ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ที่กำลังเข้าพื้นที่บ้านสายโท 10 ใต้ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งปรากฏว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่นำร่อง 1 ใน 5 ที่ฝ่ายไทยได้เสนอไปว่าจะต้องไม่มีการขัดขวางระหว่างที่ฝ่ายไทยเข้าไปเก็บกู้
เกิดคำถามว่า เหตุใดข้อเสนอของไทยที่ส่งไประหว่างการหารือที่มาเลเซียมีถึง 13 พื้นที่ ไล่ตั้งแต่กองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองกำลังจันทบุรี-ตราด จึงหดเหลือแค่ 5 พื้นที่ กลายเป็นอีกประเด็นดรามาของฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์ตั้งคำถามเรื่องการเจรจาของฝ่ายไทย ยอมโอนอ่อนให้ฝ่ายกัมพูชามากไปหรือเปล่า
ซึ่งการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การเสนอ 13 พื้นที่เร่งด่วนของไทย ภายใต้กรอบระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือนนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากกัมพูชาตั้งแต่ต้น ช่วงก่อนทำถ้อยแถลง หรือ JD ไทยจึงมีการพูดคุยพื้นที่นำร่องเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของกัมพูชาในเบื้องต้นก่อน 5 พื้นที่ แต่กัมพูชาก็ยังไม่ตอบรับ มีแต่ทางสหรัฐและมาเลเซียที่รับทราบ แต่ภายหลังกัมพูชามาตอบรับในพื้นที่นำร่องเร่งด่วนมาแค่ 1 พื้นที่คือ ที่หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งเกิดหลังจากที่เหตุการณ์ที่บ้านสายโท แต่ภายหลังก็ได้เปิดทางและไม่ได้ขัดขวางให้ TMAC เข้าพื้นที่ได้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ กัมพูชายกเอาข้อตกลงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ที่ได้ตกลงกับไทยไปแล้วว่าจะมีการสำรวจรังวัดพื้นที่ในหลักเขตที่ 42-47 จ.สระแก้ว เพื่อจัดทำหมุดชั่วคราว โดยจะมีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้วยกันอยู่แล้ว จึงมาเสนอ 1 พื้นที่นำร่องของฝ่ายตัวเองมา และวันที่ 14 พ.ย.นี้ กัมพูชาต้องส่ง TI : Technical Instruction เพื่อเริ่มดำเนินการในวันที่ 17 พ.ย.นี้ ซึ่งมีเรื่องของการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจาก “จีบีซี” ร่วมอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ในส่วนการตอบรับของ JD เพราะกัมพูชาจะใช้เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติคนละชุดกัน
สำหรับการวางหมุดชั่วคราวนั้น ในเบื้องต้นจะทำเป็น 2 เส้นขนานกัน ห่างกันประมาณ 190 เมตร บนเป็นเส้นแดงและเส้นน้ำเงิน ตามการอ้างสิทธิ์ ของไทย-กัมพูชา และในวันที่ 7 พ.ย.นี้ TMAC จะหารือกับ CMAC ที่หลักหมุดที่ 47 จ.สระแก้วด้วย เพื่อจัดทำแนวทางร่วมในการปฏิบัติ
ซึ่งกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยได้ย้ำว่า การดำเนินการปักหมุดชั่วคราวเป็นการเดินเพื่อทำแนวอ้างอิง และปักจีพีเอส โดยจะทำห่างกันประมาณ 25-50 เมตร เพื่อให้มีความแม่นยำในแนวเส้นตรง ยังไม่ใช่แนวเขตแดนที่จะจัดทำเป็นแผนที่ใหม่ ซึ่ง 2 ฝ่ายยอมรับ การสำรวจเขตแดนจริงๆ จะใช้ LiDAR เทคโนโลยีในการใช้เลเซอร์ค้นหาหลักเขต ซึ่งมีความรวดเร็วมากกว่าการสำรวจหลักเขตแบบเดิม อีกทั้งอัตราส่วนที่ได้คือ 1:25000 จึงละเอียดกว่าแผนที่ระวางใดๆ ที่อ้างอิงกันอยู่
โดยคาดว่าการดำเนินการที่ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” จะใช้เวลาไม่นาน ถ้ากัมพูชาให้ความร่วมมือ ก่อนที่จะใช้ LiDAR สำรวจหลักเขตต่อไป คาดว่าในเดือน ธ.ค.ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นบริเวณพื้นที่ราบด้านนี้ ภายใต้สูตร "ได้ๆ เสมอ เสีย" ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายว่า กระแสสังคมและ มวลชนผู้รักชาติ รักแผ่นดินจะยอมรับได้แค่ไหน
ไม่ต่างจากชายแดนอีสานใต้ ที่น่าจะมีความยุ่งยากมากกว่า เพราะมีความผูกโยงกับเรื่องการเมือง และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับปราสาทสำคัญ โดยเฉพาะปราสาทตาควาย ที่ยังมีทหารกัมพูชาใช้เป็นฐานวางอาวุธ อีกทั้งมีทุ่นระเบิดจำนวนมากมายรายล้อมบริเวณรอบเนิน 350 ที่มีทหารไทยเสียขา ในวันที่ 28 ก.ค. ก่อนถึงเที่ยงคืนตามพันธสัญญาหยุดยิง ทำให้ไทยสูญเสียการควบคุมพื้นที่ไป
ในระหว่างนี้ก็ไม่พ้นกระแสความกังวลที่ว่า ถ้าใช้เทคโนโลยี LiDAR เพื่อนำไปสู่การพิสูจน์สันปันน้ำ หลักเขตที่ สรุปออกมาว่า “ได้ๆ เสมอ เสีย” สังคมจะยอมรับความเป็นจริงได้หรือไม่?
ประกอบกับ “ไทม์ไลน์” ทางการเมืองที่เริ่มเข้มข้นประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชาที่เคยเป็น “ธงนำ” ของรัฐบาลที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา อาจได้รับเสียงเชียร์ในตอนแรก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ดังใจ เพราะฝ่ายที่มองว่าควรต้องใช้ “ยาแรง” กับกัมพูชาเท่านั้นถึงจะเอาอยู่ และดับพฤติกรรมโจรลงได้ การแก้ไขปัญหาแบบอารยะ กลไกกฎหมาย กติกานานาชาติ เป็นเพียงแค่การซื้อเวลาให้ฝ่ายกัมพูชาได้เล่นละครลวงโลก เป็นการเปิดช่องให้กลับไปตั้งหลักเพื่อมาแว้งกัดไทยในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือปฏิบัติตามข้อตกลงของกัมพูชา โดยที่มี “มหาอำนาจ”บีบให้ทำตาม จึงเป็นการจำยอมแบบสั้นๆ ให้ผ่านช่วงเวลาแก้ผ้าเอาหน้ารอดของ “ระบอบฮุน เซน” ไปวันๆ เท่านั้น
แต่สำหรับ “พายุชาตินิยม” กลับพัดหมุนกลับไปถล่มรัฐบาล เพราะเมื่อได้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่มีความสลับซับซ้อน และต้องใช้ไพ่พิเศษในการทำงานแบบหลายด้าน ทั้ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯ หรือแม้กระทั่ง “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ก็ได้รับ “ก้อนหินแทนดอกไม้” หลายครั้งจากกลุ่มรักชาติ รักแผ่นดินไปตามๆ กัน
ยังไม่นับระเบิดเวลาอีกหลายลูกที่รออยู่ ทั้งเรื่องเอ็มโอยู ที่จะถามประชาชนอย่างไร การทำงานของเทคโนโลยีที่ได้ข้อเท็จจริงที่ตรงมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมามีทั้งได้และเสีย แม้กระทั่ง พล.อ.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาค 2 ยังต้องขอให้ชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบด้วย
“การใช้เทคโนโลยีไรดาห์ในการสำรวจเส้นเขตแดน ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นดำเนินการ ซึ่งการจะเริ่มดำเนินการต้องได้รับความเห็นชอบทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายเทคนิคจะคุยในรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร โดยดูว่าผลประโยชน์ที่จะเกิดกับประเทศชาติเป็นอย่างไร...ก็มีทั้งเสียและได้ ดังนั้นต้องไปดูว่าฝ่ายเทคนิคคุยกันอย่างไร โดยคนที่จะให้เหตุผลกับประชาชน ก็ต้องไปคุยกับฝ่ายเทคนิคว่าเมื่อทำไรดาห์แล้ว อะไรที่ได้ และอะไรที่ไม่ได้ ขณะที่ไทยอยู่อย่างไร และทางกัมพูชาอยู่อย่างไร จะได้หรือเสียตรงไหน เทียบกันแล้วกี่ตารางกิโลเมตร” พล.ท.บุญสินระบุ
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จึงมีแต่ปัญหายังคลายปมไม่ออกหลายเรื่อง ส่งผลให้สุ่มเสี่ยงจะปะทุกลับมาเป็นปัญหาใหม่ได้ทุกเรื่อง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่
นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
นายกฯ สั่งผู้ว่าฯ 7 จว.ชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องมีความพร้อมเต็มที่ ดูแล-อพยพประชาชน
นายกฯ มอบนโยบายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน สั่งผู้ว่าฯ 7 จังหวัดเตรียมแผนดูแลประชาชน เผย ยืมสตาร์ลิงค์ทหารไว้สื่อสารแล้วเปรียบ ”ชรบ.“ เป็นกำแพงมหึมาดูแลแนวหลังให้ปลอดภัย - สร้างความสบายใจให้ทหารไม่ต้องพะวงหลังห่วงครอบครัว ชี้ ใครคิดรบกับไทยคงประสาทไม่ดี


