
ดีป้า เปิดตัวโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ พร้อมเดินหน้าติดอาวุธดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า หาบแร่ แผงลอย นำร่องพื้นที่ 6 จังหวัด ครอบคลุมผู้ประกอบการ 30,000 ราย เล็งขยายการรับรู้สู่ปริมณฑล 4 จังหวัด และเตรียมเดินหน้าเฟส 2 อีก 25 จังหวัดทั่วประเทศ หวังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ
12 พ.ย.2564 – นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลให้ครอบคลุม
ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลได้ง่ายและสะดวก
ต่อการใช้งาน โดยมี สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ของตนเองได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค โดยปรับเปลี่ยนสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายดังกล่าว และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ซึ่ง ดีป้า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ จึงได้ดำเนินโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ เพื่อยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ให้สามารถปรับเปลี่ยนทุกการซื้อ–ขายสู่ระบบออนไลน์ ปรับทุกไลฟ์สไตล์สู่สังคมไร้เงินสด พลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการก้าวข้ามวิกฤตโควิด–19 โดยคาดว่า การดำเนินงานในเฟสแรกจะช่วยสร้างรายได้มากกว่า 300 ล้านบาท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว
นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย สามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ สร้างโอกาสทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและจัดส่งสินค้า พัฒนาสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่บนพื้นฐานของการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เริ่มดำเนินการในพื้นที่ 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครสวรรค์ นครปฐม ชัยนาท สิงห์บุรี และลพบุรี ครอบคลุมผู้ประกอบการ จำนวน 30,000 ราย ตั้งเป้าขยายการรับรู้สู่ปริมณฑลเพิ่ม 4 จังหวัด
สำหรับโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ แบ่งการดำเนินงานหลักออกเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย
ระยะที่ 1 เดือนมิถุนายน 2564 ดำเนินการคัดเลือกและระดมดิจิทัลสตาร์ทอัพ รวมถึงผู้ให้บริการดิจิทัล (ดิจิทัลโพรไวเดอร์) สัญชาติไทย ครอบคลุม 6 กลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบการซื้อขายออนไลน์ ได้แก่ ระบบรับชำระเงินออนไลน์ (E-payment) ระบบจำลองการสนทนา (Chatbot) ระบบการสั่งอาหารหรือสินค้า (Delivery) ระบบการขนส่งสินค้า (Logistics) ระบบบริหารจัดการจุดขาย (Point Of Sales: POS) และระบบบริการ (Service) จับคู่ธุรกิจกับเอสเอ็มอี ร้านค้า หาบเร่ และแผงลอย เพื่อสร้างแพลตฟอร์มช่องทางการจำหน่ายและจัดส่งสินค้า (Local Application)
ระยะที่ 2 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไปจะเป็นการอบรมหลักสูตรออนไลน์เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ
ระยะที่ 3 ดีป้าร่วมกับดิจิทัลสตาร์อัพเริ่มจัดทัพลงพื้นที่จัดกิจกรรมตลาดต้นแบบใน 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครสวรรค์ นครปฐม ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี และขบวน Troop ลงพื้นที่ส่งเสริมการใช้ Local Application
และ ระยะที่ 4 ช่วงต้นปี 2565 จะจัดงาน Showcase ที่กรุงเทพฯ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจในเมืองหลังวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไป พร้อมแลกเปลี่ยนบทเรียนการแปลงโฉมตลาดสดทั้ง 6 จังหวัด เป็นตลาดสดยุควิถีใหม่เต็มรูปแบบ
“การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงวิกฤตโควิด–19 ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางการตลาด ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดย ดีป้า คาดหวังว่า โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ จะเป็นโครงการที่สามารถต่อยอดไปสู่พื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยคาดว่า ปี 2565 จะมีแผนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าถึงร้านค้าอีก 65,000 ราย และสร้างตลาดต้นแบบด้านดิจิทัล ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศในอีกกว่า 20 จังหวัด ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งให้กับบรรดาผู้ประกอบการไทย ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ เตรียมความพร้อมประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต”ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีป้า ชี้ผลประเมินแผนแม่บทฯ ระยะที่ 2 ครึ่งเทอม ถึงเวลาปรับทิศทาง รับการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล
ดีป้า เผยผลการประเมินความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนแม่บท การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 ช่วงกึ่งกลางแผนที่ดำเนินการร่วมกับ
‘ดีป้า’ เผย “gamescom asia x Thailand Game Show 2025” ทุบสถิติใหม่คนร่วมงานกว่า 2 แสนคน สร้างเม็ดเงินกว่า 1,200 ล้านบาท ดันไทยสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเกมแห่งเอเชีย
‘ดีป้า’ เผยความสำเร็จงาน gamescom asia x Thailand Game Show 2025 สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมเกมระดับภูมิภาคเอเชีย ด้วยผู้เข้าร่วมงานในโซน Entertainment Area กว่า 206,159 คน
เริ่มแล้ว! รัฐ-เอกชน ผนึกกำลังเปิดฉาก 2 งานใหญ่ Thailand Smart City - Secutech Thailand 2025 มหกรรมเทคโนโลยีสมาร์ทซิตี้ใหญ่สุดในอาเซียน ดันเศรษฐกิจกว่า 1,200 ล้านบาท
กระทรวงดีอี-ดีป้า-N.C.C.-เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ต จับมือจัดงาน “Thailand Smart City Expo 2025 - Secutech Thailand 2025” จัดแสดงสินค้าเทคโนโลยีสมาร์ทซิตี้ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ดีป้า หนุนไทยเป็นศูนย์กลางเมืองอัจฉริยะอาเซียน
ดีป้า ร่วมกับ เอ็น.ซี.ซี. และ เมสเซ่ แฟรงค์เฟิร์ต จัดใหญ่มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ‘Thailand Smart City Expo 2025’ และงานแสดงเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยและการป้องกันอัคคีภัย ‘Secutech Thailand 2025’ คาดมีผู้สนใจเข้าชมงานกว่า 15,000 คน หนุนไทยเป็นศูนย์กลางเมืองอัจฉริยะอาเซียน
ดีป้า ขยายผลโครงการ OTOD ทุเรียนดิจิทัล สนับสนุนเพิ่มระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะด้วย IoT
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ขยายผลโครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (OTOD ทุเรียนดิจิทัล) สนับสนุนระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพิ่ม หลังสนับสนุนให้เกษตรกรนำแอปพลิเคชันมาใช้จดบันทึกข้อมูลและติดตามย้อนกลับการเพาะปลูกทุเรียนที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ช่วยเก็บข้อมูลเกษตรกรเพื่อรวบรวมเป็น Big Data การจัดการข้อมูลเพื่อยื่นขอรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)
ดีป้า แจงกระบวนการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ ODOS Summer Camp ย้ำยึดหลัก ‘ความโปร่งใส เสมอภาค ตรวจสอบได้’
ดีป้า ชี้แจงกระบวนการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ ODOS Summer Camp เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมยืนยันว่า โครงการยึดหลัก ‘ความโปร่งใส เสมอภาค ตรวจสอบได้’

