ผู้ส่งออกไทยเตรียมรับผลกระทบกฎหมายตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป

ผู้ส่งออกสินค้าไทยไปสหภาพยุโรปต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (European Union Deforestation Regulation – EUDR ที่กำหนดจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2567 เน้นสินค้าโภคภัณฑ์ 7 หมวดได้แก่ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ไม้ กาแฟ โกโก้ วัวและถั่วเหลือง และไม่ใช่แค่ในรูปของวัตถุดิบแต่ยังรวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าแปรรูปที่มีองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย

23 มี.ค. 2567 – ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายความยั่งยืนของสหภาพยุโรป  นาย Kees Bronk  เตือนผู้ส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย ให้เร่งศึกษารายละเอียดของมาตรการ EUDR ที่จะบังคับใช้ในทั้ง 27 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป แม้กฎหมายนี้จะไม่มีผลบังคับโดยตรงในประเทศไทย แต่จะมีผลบังคับใช้กับผู้นำเข้าและผู้ค้าส่งและปลีกในสหภาพยุโรป โดยจะเริ่มกับผู้ประกอบการรายใหญ่ก่อนภายในปีนี้ และให้เวลาปรับตัวกับรายย่อยจนถึงกลางปีหน้า

หากผู้ส่งออกไทยต้องการรักษาตลาดและความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหภาพยุโรป ก็จำเป็นต้องรีบปรับตัว โดย Bronk กล่าวผ่านการบรรยายออนไลน์ เร็วๆนี้ที่งาน STYLE Bangkok 2024 ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

ขณะเดียวกันยังได้ให้คำแนะนำผู้ส่งออกไทยว่า จะต้องศึกษารายละเอียดของสินค้าของตนให้สามารถตรวจสอบกลับได้ พร้อมหลักฐานยืนยันได้ว่า สินค้าของตนปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า จัดทำรายงานตามเกณฑ์มาตรฐาน และกำกับดูแลให้ทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทานของตนปฎิบัติตามกฎระเบียบที่ EUDR กำหนด โดยหัวใจสำคัญของ EUDR มี 3 ข้อคือ ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า ผลิตโดยถูกต้องตามกฎหมายของประเทศที่ผลิต และผ่านการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) ตามที่สหภาพยุโรปกำหนด

ในการทำ Due Diligence ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก  คือ รวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต ประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการทำลายป่าและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและ  ธรรมาภิบาล (ESG) และการบรรเทาผลกระทบอย่างไร เมื่อพบว่ามีความเสี่ยง เช่นจัดทำเอกสารเพิ่มเติมและดำเนินมาตรการในการลดความเสี่ยงอย่างเป็นขั้นตอน

ธุรกิจต่างๆสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือกับกฎระเบียบ EUDR ได้โดยการเริ่มจัดทำรายงานความยั่งยืน (sustainability report) ขององค์กรของตน ให้ความรู้กับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานเกี่ยวกับกระบวนการจัดเก็บและจัดส่งข้อมูล รวมถึงการสื่อสารคุณค่าที่แท้จริงของสินค้า

โดยมีหลักฐานยืนยันเพื่อหลีกเลี่ยงการฟอกเขียวหรือสื่อสารทางการตลาดที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงซึ่งในอนาคตจะมีการตรวจสอบและบทลงโทษเช่นกัน ทั้งนี้การออกแบบสินค้าโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม จะสามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปที่จะเริ่มบังคับใช้เดือนหน้าอาจทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้ในเร็ว ๆ นี้

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกระบวนการผลิตของสินค้า[ EU [Source]] โดยในระยะแรกคาดว่า CBAM จะส่งผลกระทบต่อ 3.8% ของสินค้าส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปในปี 2569 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท

'ชาญวิทย์' มาแล้ว! อยากให้อาเซียนยกระดับข้ามแดนเหมือนกลุ่ม EU แต่ผู้มากบารมีคงไม่ยอม

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ในยุโรป กลุ่ม EU แม้จะมีเขตแดนอยู่ เขาก้อข้ามไปข้ามมา

กมธ.ต่างประเทศฟุ้งเดินสายให้ข้อเท็จจริงนานาชาติตั้งแต่เปิดศึกชายแดน!

'ปธ.กมธ.ต่างประเทศ' วอนนานาประเทศตรวจสอบข้อเท็จจริงข่าวไทย-กัมพูชา หวั่นประชาคมโลกสับสน บอก ไทยต้องเข้มแข็งด้วยลำแข้งตัวเอง ชี้เป็นโอกาสได้ตัดสินใจครั้งใหญ่-เห็นมิตรในวันที่มีปัญหา