
ในช่วงต้นปี 2568 ภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในประเทศ ที่กำลังซื้อยังอ่อนแรง จากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงปัจจัยจากต่างประเทศที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง คาดการณ์ทิศทางได้ยากว่าจะเป็นอย่างไร ทำให้ผู้ประกอบการต้องคอยปรับตัวทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
14 เม.ย. 2568 – สำหรับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจธุรกิจอาหารครั้งสำคัญ โดยแต่งตั้ง ไพศาล อ่าวสถาพร ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เพื่อดูแลภาพรวมธุรกิจอาหารในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นมีความชำนาญในวงการธุรกิจร้านอาหาร และการมาคุมทัพในภาพใหญ่ในครั้งนี้ ก็พร้อมที่จะผลักดันกลุ่มอาหารของเครือไทยเบฟ ภายใต้แนวคิด ONE FOODS GROUP: ONE FOOD-ONE TEAM-ONE GOAL ที่เน้นการรวมศูนย์การบริหาร แต่ยังคงความหลากหลายของแบรนด์ เสริมความเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มธุรกิจอาหาร เพื่อรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เครือไทยเบฟ ระบุว่าการเติบโตกลุ่มธุรกิจอารหารนับจากนี้ ต้องการเติบโตอยู่ในระดับสองหลักต่อเนื่อง ตาม เป้าหมาย Passion 2030 ของคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ท่ามกลางความท้าทายของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาอุตสาหกรรมธุรกิจร้านอาหารที่มูลค่านับแสนล้าน มีการเติบโตและถดถอยลงตามสภาพเศรษฐกิจ มีทั้งแบรนด์เปิดใหม่และแบรนด์ที่ต้องออกจากตลาดไป แม้มูลค่าอาจจะไม่ได้มีการปรับตัวมากนัก แต่เทรนด์ของร้านอาหารเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไป ส่วนประเด็นการขึ้นภาษีของ โดนัล ทรัมป์ แน่นอนว่านโนบายต่างๆ ของเขามีผลต่อเศรษฐกิจโลกมาก แต่ผลกระทบก็มากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่ประเทศ แต่มองว่าจีนน่าประสบปัญหามากที่สุด ซึ่งธุรกิจอาหารก็มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศอยู่แล้ว ในส่วนนี้คงได้รับผลกระทบบ้าง แต่ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในขณะนี้ ก็มองว่ามีผลทำให้ผู้คนหันกลับมาใช้วัตถุดิบภายในประเทศของตัวเองมากขึ้น

สำหรับภายใต้กลุ่มธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟ ประกอบด้วยความหลากหลายของธุรกิจบริการอาหารที่มีศักยภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ OISHI (โออิชิ) โดยมีการพัฒนาธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น มีแบรนด์และร้านอาหารญี่ปุ่น ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทาน ภายใต้ตราสินค้า โออิชิ อีทโตะ (OISHI EATO) อีกด้วย “โออิชิ เป็นแบรนด์ที่ต้องเร่งปรับมากที่สุด เพื่อกลับมาทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ของการเป็นเจ้าแห่งร้านอาหารญี่ปุ่น หลังจากเราเผลอหลับไป แต่ตอนนี้เรากลับมาทำให้คึกคักมากขึ้นอีกครั้ง เราไม่ได้ออกมาสร้างสีสันให้กับแบรนด์โออิชิมากนักที่ผ่านมา แต่จากนี้จะมีแคมเปญที่น่าสนใจในอนาคต”

ต่อมาคือ 2. บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด หรือ QSA (คิวเอสเอ) ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant “QSR”) เป็นหนึ่งในผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ซี เคเอฟซี ประเทศไทย ที่มีสาขามากที่สุด หรือกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ และ 3. บริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด หรือ FOA (เอฟโอเอ) ดำเนินธุรกิจร้านอาหารอย่างครบวงจร ตั้งแต่อาหารไทยทั่วทุกภูมิภาค, อาหารจีน, อาหารอาเซียน, อาหารชาติตะวันตก, รวมไปถึงเค้กและเบเกอรี่ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์

ไพศาล กล่าวอีกว่าธุรกิจร้านอาหารจะเดินด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่ 1. ขยายสาขา เพิ่มจุดให้บริการในพื้นที่ใหม่ ๆ และพัฒนารูปแบบร้านให้หลากหลาย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยได้เตรียมงบประมาณการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ขยายสาขาแบรนด์ในเครือทั้งสิ้น 888 สาขาในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีสาสทั้งสิ้น 847 สาขา ได้แก่ เคเอฟซี 500 สาขา เครือโออิชิ 284 สาขา และภายใต้ FOA อีก 63 สาขา 2. ยกระดับประสบการณ์ ด้วยการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย 3. เสริมศักยภาพ พัฒนาศักยภาพพนักงานและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน และ 4. มุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืน ลดปริมาณขยะอาหารและมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์สังคม
“การขยายธุรกิจในปัจจุบันไม่ได้มองแค่การเปิดสาขาเพิ่ม แต่ต้องมองในมิติของการขยายศักยภาพ โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนและห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารเป็นไปอย่างสมดุล แข็งแรง และยั่งยืน” ไพศาล กล่าว
นอกจากนี้ ในปีนี้กลุ่มธุรกิจอาหาร ไทยเบฟ ยังได้มีการเปิดร้านอาหารภายใต้โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ “วัน แบงค็อก” ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 400 ล้านบาท เพื่อเป็นโชว์เคสรวมแบรนด์ร้านอาหารในเครือไว้ในที่เดียว มากถึง 15 แบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ “1 ร้าน 1 แบรนด์” ไม่แข่งกันเอง แต่เสริมกันครบพอร์ต และการใช้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ให้กับคือ “ช้าง แคนวาส” สู่ Iconic Social Brewhouse แห่งแรกของไทย ที่ผสานเบียร์คราฟต์ระดับพรีเมียมกับบรรยากาศแห่งการพบปะและความคิดสร้างสรรค์ มีโรงงานผลิตเครื่องดื่มในร้าน

นอกจากนี้ ยังมี “สโมสร” ร้านอาหารไทยร่วมสมัย ที่ตีความรสชาติและบรรยากาศแบบไทย ๆ ให้ทันสมัย พร้อมเสิร์ฟประสบการณ์ใหม่แก่กลุ่มลูกค้าเมือง และผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาไลฟ์สไตล์ในแบบ Modern Thai Society และ “เลิศเหลา” ร้านเกาเหลาหม้อไฟระดับพรีเมียม ที่โดดเด่นทั้งในด้านวัตถุดิบ รสชาติ และน้ำซุปสูตรเฉพาะจากสมุนไพร 26 ชนิด เป็นแบรนด์ที่เน้นรสชาติ “ถึงเครื่อง ถึงใจ” ตอบโจทย์คนรักเนื้อ และผู้ที่ชื่นชอบอาหารแนว comfort food แบบมีคลาส
จะเห็นได้ว่าแบรนด์ทั้ง 3 นี้ สะท้อนแนวคิดใหม่ของกลุ่ม FOODS GROUP ในการสร้างแบรนด์และร้านอาหาร ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยไม่เพียงเป็นการเพิ่มไลน์สินค้าในพอร์ต แต่ยังเป็นต้นแบบของแนวทางพัฒนาแบรนด์ในอนาคต ที่ชัดเจนในคอนเซ็ปต์ เชื่อมโยงดีไซน์ ประสบการณ์ และคุณภาพสินค้าอย่างครบวงจร สะท้อนศักยภาพในการแข่งขันทั้งด้านรสนิยมและธุรกิจอย่างรอบด้าน
“ร้านอาหารที่เราเปิดใน วัน แบงค็อก ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขยายจุดให้บริการ แต่คือการนำเสนอภาพรวมของพลังแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจอาหารของไทยเบฟ ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่ street food ไปจนถึง fine dining ซึ่งเราตั้งใจให้ที่นี่เป็นเสมือนโชว์เคสที่สะท้อนความพร้อมของกลุ่มฯ ทั้งด้านคุณภาพสินค้า บริการ ประสบการณ์ที่แตกต่าง และศักยภาพในการแข่งขันในตลาดระดับบน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่ดี ระหว่างแบรนด์ของเรา กับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาไลฟ์สไตล์ที่มีความหมาย” ไพศาล กล่าว

การขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจอาหารของไทยเบฟในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการเดินเกมธุรกิจในมิติเดิม แต่คือการยกระดับทั้งแนวคิด โครงสร้าง และประสบการณ์ของผู้บริโภคให้ก้าวทันยุค เปลี่ยนผ่านจากการ “ขายอาหาร” ไปสู่การ “สร้างแบรนด์ที่มีชีวิต” ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของพอร์ตธุรกิจ การวางกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกันในระดับองค์กร FOODS GROUP พร้อมจะก้าวขึ้นเป็น “กลุ่มธุรกิจอาหารชั้นนำของประเทศ” ที่สร้างความแตกต่างได้อย่างมีคุณค่า พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกมิติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคาและประเภทของอาหาร ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง โดยในปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนร้าน
สำหรับในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบรายเล็ก (บุคคล) ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการในตลาดมีแผนที่จะขยายสาขาในกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเดิม รวมถึงการเปิดแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ครอบคลุมทุกเช็กเม้นท์ของตลาด และส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านอาหารเอเชีย นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มยังมาจากแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเปิดใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนจำนวนร้านอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ส่วนทิศทางลงทุนของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวสูง อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพ โดยจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศ
นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจยังมาจากการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้นสะท้อนได้จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มูลค่าทุนจดทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่มจำแนกตามสัญชาติ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 กลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนมีมูลค่าการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และแนวโน้มการเข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มสูงขึ้น


