
เปิดแผนแบรนด์ ‘ไวไว’ เล็งพัฒนาสินค้าใหม่สู่ตลาด รุกตลาดพรีเมียม หลังพบเทรนด์โตสองหลักต่อเนื่อง พร้อมส่งสินค้าตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ กระจายรายได้ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
3 มิ.ย. 2568 – นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวทางในการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มสินค้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะเส้นในกลุ่มพรีเมียม ที่จะเข้ามาเติมเต็มพอร์ตและสร้างรายได้มากขึ้น รวมถึงพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์สุขภาพมากกว่าเดิม ควบคู่ไปกับการทำตลาดในกลุ่มแมส ซึ่งยังคงเป็นตลาดหลัก โดยเมื่อช่วงประมานหลายปีที่แล้ว บริษัทเคยได้เปิดตัวสินค้าในกลุ่มพรีเมียม แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงนั้นตลาดอาจจะยังไม่มีผลตอบรับที่ดีนัก จึงอาจจะยังไม่ถึงเวลาในการออกสินค้าดังกล่าว แต่ปัจจุบันมองว่าตลาดมีการยอมรับมากกว่าในอดีต เนื่องจากวัฒนธรรมการกินจากเกาหลีและญี่ปุ่น จากกลุ่มเล็กๆ ตามซีรียส์ที่มีการต้มกินกัน จาก 4-5 บาท มาเป็น 9 บาท และมาถึงราคา 15 บาท ก็ทำให้มีช่องว่างของราคาที่ตลาดเติบโตขึ้น

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มพรีเมียมประมาณ 3,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และมีการเติบโตสองหลักมาตลอด และจะเติบโตเป็น 4,000 ล้านบาทในปีนี้ จึงอยากกลับมาลุยตลาดพรีเมียมอีกครั้ง โดยบริษัทมีจุดขายหลักเป็นเรื่องคุณภาพเส้น รสชาติอร่อย และมีรสชาติที่แปลกใหม่ในตลาด ที่ไม่มีวางจำหน่ายในไทยแต่อาจจะมีขายในของต่างชาติ เบื้องต้นน่าจะวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2568

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ “ราเมนโชยุส้มจี๊ด” ที่ได้แรงบันดาลใจจากญี่ปุ่น ซึ่งจะมีความเป็นพรีเมียม และเพื่อสุขภาพ เนื่องจากผู้บริโภคบางกลุ่มมีอาการแพ้กลูเต็น ก็เป็นทางเลือกอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากปกติราเมนจะทำจากแป้งสาลี แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะเป็นราเมนแป้งข้าว พัฒนาขึ้นมาเพื่อลูกค้าที่รักสุขภาพและชื่นชอบความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งแนวคิดในการพัฒนาคือการนำ local ingredient ของไทย นั่นก็คือส้มจี๊ด มาผสมผนานกับโชยุ ซึ่งเป็นรสชาติที่นิยมของญี่ปุ่นอยู่แล้ว ส่วนระดับราคามองว่าน่าจะอยู่ใน Segment เดียวกับเส้นเกาหลี คาดการณ์ว่าจะวางจำหน่ายภายในปี 2568
นายยศสรัล ระบุว่า พฤติกรรมของคนไทยชอบรับประทานราเมนอยู่แล้ว ขณะเดียวกันราเมนสำเร็จรูป หากนำเข้าจะมีราคาที่สูง หากบริษัทไทยมีการพัฒนาเส้นราเมนขึ้นมาได้ ก็จะทำให้ราคาจับต้องได้มากขึ้น โดยที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยพัฒนาเส้นราเมนอยู่บ้าง แต่ราคายังค่อนข้างสูง บริษัทเองก็อาจจะไม่ได้ตั้งราคาต่ำ แต่เป็นราคาที่คุ้มค่ากับผู้บริโภค ซึ่งเส้นราเมนของบริษัทได้ผ่านการพัฒนามาเป็นระยะเวลา 1-2 ปี

ส่วนการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ “ไวไว กรีน” จะเน้นไปที่เรื่องของสุขภาพเป็นหลัก และมีความเป็นพรีเมียม โดยหลังจากมีการจำหน่ายไวไว กรีน เส้นหมี่อบแห้งไฟเบอร์สูง มาเป็นระยะเวลา 2 ปี ก็พบว่ามีผลตอบรับที่ดี เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในแบรนด์อยู่แล้ว ทำให้กล้าตัดสินใจซื้อ แต่ไม่ได้เป็นกลุ่มใหญ่ เน้นจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งหากจำหน่ายในร้านสะดวกซื้ออาจจะไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากคนนิยมอาหารพร้อมทานมากกว่า ขณะเดียวกันลูกค้าบางกลุ่มก็อาจจะยังห่วงเรื่องของราคา แต่กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ไม่ได้ติดเรื่องราคาที่อาจจะแพงกว่า
“แบนด์ไวไว กรีน หลักๆ เลยคือต้องเป็นเพื่อสุขภาพ เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จะถูกมองว่าเป็นปัญหาต่อสุขภาพ จึงอยากออกสินค้าที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่ม เพื่อเป็นทางเลือกต่อสุขภาพมากขึ้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเองก็มีนโยบายที่พยายามทำให้ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพให้มากที่สุด ทำตามเกณฑ์ให้ตอบโจทย์สุขภาพ ส่วนตัวที่แยกออกมาทั้งเส้นและเครื่องปรุง ก็จะมีการพัฒนาใหม่ๆ อาทิ เส้นกลูเตนฟรี โดยเครื่องปรุงจะอยู่ในเฟสถัดไปในการพัฒนา”

นายยศสรัล กล่าวอีกว่า การดำเนินธุรกิจคงไม่ควรพึ่งพาเพียงแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีสินค้าในกลุ่มเส้นและเครื่องปรุงรสเข้ามาเพิ่ม โดยบริษัทมีเส้นหมี่อบแห้งไวไวที่มีฐานขนาดใหญ่ และเป็นเบอร์หนึ่งของตลาด ส่วนเครื่องปรุงรสหรือผงปรุงรสก็อยากจะมีตีตลาดโดยใช้แบรนด์รสเด็ด ที่จำหน่ายมาเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว เนื่องจากมองว่าตลาดค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน ต้องการขยายฐานไปสู่ตลาดแมสมากขึ้น จะเห็นได้ว่าตลาดเครื่องปรุงมีมูลค่ามากถึง 3 หมื่นล้าน ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทส่วนมากยังคงมาจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 70% ขณะที่กลุ่มเส้นหมี่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 25% และเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มเครื่องปรุงเป็น 5%

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ซอสมีวางจำหน่ายมาแล้ว 2 ปี แต่ไม่ได้ทำเป็นสเกลใหญ่ จำหน่ายผ่านออนไลน์และหน้าร้านเป็นหลัก เนื่องจากตลาดซอสแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ซึ่งบริษัทมีความแข็งแกร่งในเรื่องของเส้นมากกว่า ทางบริษัทจึงมีนโนยบายพัฒนาด้านเส้นมากกว่า ส่วนซอสเป็นเหมือนการเสริมร้านควิกเทอเรส (Quick Terrace) by WaiWai ที่มาต่อยอดกันมากกว่า แต่ลูกค้าหลายคนก็ชื่นชอบ อาจจะต้องมีการพัฒนารสชาติอีกหน่อย แล้วจำหน่ายในช่องทางอื่นมากขึ้น


