'คลัง' เตรียมงัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ฟุ้งแผนสองรับมือปัจจัยเสี่ยงใน-นอกทุบหนัก

‘คลัง’ เตรียมผุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม หากประเมินสงครามอิสราเอล-อิหร่าน-ความไม่แน่นอนทางการเมือง เขย่าเศรษฐกิจไทยหนัก กางยอดจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ลุยดันจ้างงาน 6-7 ล้านคน พ่วงกระทุ้งลงทุน-ภาคการผลิต ช่วยประคองจีดีพีโตเพิ่ม 0.4-0.5%

20 มิ.ย. 2568 – นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีปัจจัยเสี่ยงจากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ว่า สศค. ไม่ได้นิ่งนอนใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด และได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง รวมถึงนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สั่งการมาแล้วว่าให้เตรียมพิจารณาว่าจำเป็นจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อออกมารองรับ หากกรณีมีการประเมินแล้วพบว่าผลจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย

“รายละเอียดตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา และต้องติดตามสถานการณ์ทั้งหมดอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้ได้มีการใช้งบกลางไปแล้วในระดับหนึ่ง และยังมีบางส่วนที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมถึงหน่วยงานอื่นที่จะสามารถเข้ามาช่วยเหลือในส่วนนี้กับทางรัฐบาลได้ ก็กำลังดำเนินการกันอยู่” นายพรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบการข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งหลัก ๆ จะเป็นโครงการที่จะเข้าไปเสริมเรื่องการลงทุน และอีกส่วนคือเรื่องของการจ้างงาน ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 30% ของเม็ดเงินที่ได้รับการอนุมัติ โดยกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้ประเมินว่า จะช่วยให้มีการจ้างงาน ประมาณ 6-7 ล้านคน และส่วนที่เหลือจะเป็นเม็ดเงินที่ใช้ในการสนับสนุนการลงทุนด้านต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลดีต่อภาคการผลิต

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าเม็ดเงิน 1.15 แสนล้านบาท ที่จะเข้าไปสนับสนุนเรื่องแรงงาน การลงทุน และลงไปช่วยในภาคการผลิตนั้น จะมีส่วนในการช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ประมาณ 0.4-0.5% ซึ่งเชื่อว่าในส่วนนี้จะสามารถเพียงพอรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ด้านได้

อย่างไรก็ดี ในส่วนที่หลายฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายปี 2569 นั้น นายพรชัย ระบุว่า ยืนยันว่าเรื่องนี้ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมารรายจ่ายปี 2569 ซึ่งอย่างไรก็ตามกระบวนการทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย

เพิ่มเพื่อน