PEAเดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ดิจิทัลชูAIยกระดับคุณภาพระบบไฟฟ้า

PEAเดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ Digital Utility  ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม AI ยกระดับคุณภาพระบบไฟฟ้า สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พัฒนานวัตกรรมบริการ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตพลังงานที่สะอาด ควบคู่กับโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนมั่นคงและยั่งยืน

 

08 ก.ย. 2568 -นายมงคล ตรีกิจจานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( กฟภ.) หรือ PEA  เปิดเผยว่าเนื่องในโอกาสการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคครบรอบ 65 ปี 28 กันยายน 2568  การดำเนินงานของ PEA ยังคงมุ่งไปในทิศทางภายใต้แนวคิด Move For The Future: Smart Technology & Sustainable Energy  ขับเคลื่อนองค์กรสู่ Digital Utility  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม AI  พร้อมพัฒนาปรับเปลี่ยนด้านพลังงานตามความต้องการของลูกค้า ยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัยรองรับพลังงานสะอาดและเดินหน้าบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้เป้าหมายแรกสู่การเป็น Digital and Green Grid และเป็นปีที่ PEA จะเร่งเครื่องสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่างแท้จริง หรือ PEA Move to AI Organization เพื่อยกระดับ ความมั่นคง , ประสิทธิภาพ  และ ประสบการณ์ของลูกค้า  ให้ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอบโจทย์ยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ โดย PEA มุ่งเน้นประเด็นสำคัญดังนี้ นำAI เพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์  แทนการรอให้เสียแล้วซ่อม และการบริการที่รวดเร็ว ผ่าน  PEA Smart Plus และ LINE OA ช่วยให้ PEA บริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมในระยะยาว และช่วยให้ผู้ใช้ไฟวางแผนการใช้พลังงานเพื่อประหยัดค่าไฟของตนเองได้

นอกจากนี้จะใช้โดรนและ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายต้นไม้ใกล้แนวสายไฟฟ้า เพื่อหาว่าเส้นทางใดที่ต้องทำการตัดต้นไม้ก่อน ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จะหาจุดชำรุดหรือจุดเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ซึ่งลดทั้งความเสี่ยงของพนักงานและเพิ่มความแม่นยำ, พัฒนาแชทบอทอัจฉริยะรุ่นใหม่ ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยที่ซับซ้อนและเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ ,  เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการภายใน ลดต้นทุน ยกระดับความโปร่งใส และต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุค Electricity 5.0  และพัฒนา AI พยากรณ์โหลดและปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้บริหารจัดการไฟฟ้าในระบบได้เสถียรยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามการเป็น AI Organization จะสำเร็จได้ ต้องมีรากฐานที่มั่นคง คือ บุคลากรของ PEA ต้องมีการUpskill และ Reskill พนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลและ AI เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่มหาศาลให้มีคุณภาพ พร้อมใช้งาน และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดย PEA กำลังทำแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง เพื่อให้ AI สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ PEA จะลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงให้สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและสร้างโมเดล AI ที่ซับซ้อนให้มีความปลอดภัย ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น รองรับการเติบโตในอนาคต

นายมงคล กล่าวว่า PEA ยังมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่นโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ครัวเรือนรายใหม่ (คฟม.) PEA ขยายเขตให้สำหรับบ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้และอยู่ห่างจากแนวสายไฟฟ้าเดิม จำนวน 50,000 บาทต่อ 1 ครัวเรือน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย, โครงการขยายเขตไฟฟ้าเพื่อการเกษตร (คฟก.) PEA ขยายเขตไฟฟ้าไปยังพื้นที่ทำกิน เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้เครื่องมือทางการเกษตรที่ใช้ไฟฟ้าได้ เช่น เครื่องสูบน้ำ ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการใช้น้ำมัน   โครงการพัฒนา ระบบไฟฟ้าขนาดเล็กอิสระที่เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลัก (Grid) โดยมี BESS (Battery Energy Storage System) เป็นหัวใจหลักในการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้า ซึ่ง BESS คือระบบแบตเตอรี่ที่ใช้กักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆ และจ่ายคืนกลับสู่ระบบเมื่อจำเป็น โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดการสูญเสียพลังงาน และรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ห่างไกล  รวมถึงการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้พื้นที่เกาะต่างๆ ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อขยายการให้บริการพลังงานไฟฟ้าให้หมู่บ้านต่างๆ บนเกาะจำนวน 11 เกาะ  และการจัดหาไฟฟ้าให้กลุ่มบ้านในพื้นที่ห่างไกล

ส่วนการการดำเนินธุรกิจด้าน  PEA Climate Solution การจัดหาใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน  (Renewable Energy Certificate:REC) สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายจะมุ่งสู่ความยั่งยืน หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน  ที่ได้กำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาดและองค์กรที่ได้รับผลกระทบการส่งออกจากมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ บริการไฟฟ้าสีเขียว (UGT)  ลูกค้าสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน 100% ได้ พร้อมกับได้รับใบรับรองพลังงานหมุนเวียน หรือ REC ตามมาตรฐาน I-REC ของ The International Tracking Standard Foundation : ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และตอบสนองความต้องการของห่วงโซ่อุปทานสากลที่เรียกร้องให้ใช้พลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบัน PEA เปิดให้บริการ UGT1 (อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว แบบไม่เจาะจงแหล่งมา) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้บริการ UGT2 (อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว แบบเจาะจงแหล่งมา) ในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ PEA มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม CARBONFORM เพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร พร้อมเชิญชวนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลในพื้นที่รับผิดชอบของ PEA 74 จังหวัด ใช้งานแพลตฟอร์ม CARBONFORM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ บริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และแพลตฟอร์ม CARBON MICE จัดการคาร์บอนสำหรับงานอีเวนต์ที่สามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างละเอียด ติดตามความคืบหน้าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเรียลไทม์ วิเคราะห์แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรายงานที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการขององค์กร ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมถึง ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายภาครัฐ ,การพัฒนาสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าของ PEA            นอกจากนี้ยังมุ่งในด้านการบริการอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านบริการออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของ PEA (www.pea.co.th).

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%