
ปตท.เร่งหาพาทเนอร์ช่วยคุมเกมธุรกิจปิโตรเคมี-โรงกลั่น พร้อมเดินหน้าเพิ่มกระแสเงินสดอีก 1 แสนล้านบาทภายในปี 69 ลุยโครงการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรต่อเนื่องดัน EBITDA โต คาดปีหน้าราคาน้ำมันทรงตัว 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
19 พ.ย. 2568 – นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่าท่ามกลางราคาระดับน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ที่ถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก ปตท. ได้ดำเนินการควบคุมใช้จ่ายและบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ความคืบหน้าภายใต้แผนการปรับสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น(P&R) อยู่ระหว่างหาพันธมิตรให้กับบริษัทลูกกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และ บริษัท บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC คาดว่าจะดำเนินธุรกรรมเสร็จสิ้นในปี 2569
“ปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพ โดย ปตท. ยังยึดหลักการที่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทเรือธง(Flagships) และแสวงหาหุ้นส่วนทางธุรกิจในระยะยาวที่สร้างมูลค่า โดยต้องคำนึงถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะสร้างผลกระทบในเรื่องการลงทุน เพราะทำให้สภาวะเศรษฐกิจผันผวนและเติบโตได้ไม่ดี ทำให้ต้องมีการไตร่ตรองที่ดีก่อน ต้องยอมรับว่า ปตท. ไม่ใช่ธุรกิจยุคใหม่มี่สามารถลงทุนอะไรที่ดูเซ็กซี่ได้ทันที แต่ต้องเอาสิ่งที่มั่นและชัวร์ ๆ ก่อนที่จะไปลงทุน แม้เราจะมีกระแสเงินสดที่ดีแต่หากเป็นธุรกิจที่ไม่ทำกำไรก็ไม่น่าสนใจ”นายคงกระพัน กล่าว
ขณะเดียวกันแผยการเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเรือธง(Flagship) รองรับบริบทธุรกิจ ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ปตท. ตั้งเป้าที่จะสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในระดับที่แข็งแกร่งจำนวน 413,718 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนและสภาพคล่องในระยะยาว ขณะที่ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ปตทยังสามารถรักษาการดำเนินงานตามแผนได้ทุกมิติ โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา(EBITDA) อยู่ที่ 257,957 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก โครงการสำคัญที่จะช่วยลดระดับผลการดำเนินงาน และสร้างความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ 1. การบริหารความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานและการตลาดของทั้งในและต่างประเทศผ่านโครงการ P1 และ D1 สร้างผลประโยชน์รวมทั้ง 2 โครงการประมาณ 3,634 ล้านบาท
2. MissionX ยกระดับการบริหารจัดการที่ดีเลิศ ผ่านการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ซึ่งวางเป้าเพิ่ม EBITDA ทั้งกลุ่ม ปตท. ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาช่วง 9 เดือนของปีนี้สามารถทำมูลค่าได้ประมาณ 8,332 ล้าน บาท และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 3. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (AXIS) โดยผลักดันการนำเครื่องมือทางดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์(AI) มาใช้ในองค์กรเพื่อสร้างประสิทธิภาพ ในด้านต่าง ๆ สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร โดยต้องมีการอัปสกิลและรีสกิล พนักงานอย่างเหมาะสม วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนทำได้ประมาณ 155 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ภายในปี 2572
4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. โดยสร้างกลยุทธ์ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์และทุนและปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงใน ระยะยาว โดยรวมศูนย์การบริหารสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของกลุ่ม ให้บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็นโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทเรือธง เพื่อซื้อและเช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานจาก GC และ TOP เช่น ท่าเทียบ เรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ระบบขนถ่าย ถังเก็บน้ำมันดิบ และธุรกิจบริการรับ จัดเก็บ และขนถ่ายสินค้าเหลว ฯลฯ และนำทรัพย์สินดังกล่าวมาบริหารให้เกิดรายได้และผลตอบแทนต่อบริษัทในกลุ่ม ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นายคงกระพัน กล่าวว่า ภายในปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันยังไม่สูงมาก เนื่องจากซัพพลายกลุ่ม OPEC Plus ยังเยอะอยู่ ขณะที่สหรัฐอเมริกาก็ยังมีนโยบายไม่ชัดเจน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอาจจะทรงตัวอยู่ในระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องติดตามคือเรื่องของเศรษฐกิจโลก ที่ยังไม่เติบโตได้ดีเท่าที่ควรทำให้ความต้องการใช้น้ำมันไม่โตตามไปด้วย แม้ไม่มีเรื่องสงครามมาเกี่ยวข้องก็ตาม ขณะที่ภาพรวมด้านกำไรของการกลั่นก็อาจจะทรงตัวไม่ดีขึ้นในภาพรวม แต่ก็มีบางตัวที่น่าสนใจอย่างกลุ่มน้ำมันดีเซลที่จะมีบางซีซั่นราคาดีดตัวขึ้นมาแต่ก็ต้องติดตามดูแย่างใกล้ชิด ขณะที่ด้านปิโตรเคมี กำไรจากบางตัวก็อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเพราะยังมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลายหรือการผลิตที่ล้นตลาด แต่ราคาจะไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้ภาพรวมอาจจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน
“ภาพรวมจะสะท้อนให้เห็นว่าเราไม่ควรมองในระยะสั้นอย่างเดียวจำเป็นต้องมองในระยะยาวด้วย ซึ่งโครงการทั้งหลายที่ปตทดำเนินการไม่ว่าจะเป็น P1, D1, A1 และ Mission X จะสามารถ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ขององค์กรได้ ทำให้สร้างกำไรและพัฒนาธุรกิจเพื่ออนาคตต่อไป”นายคงกระพัน กล่าว


