
‘กอบศักดิ์’ ชี้เศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอ กดดันสินค้าทะลักเข้าไทยอย่างน้อยอีก 5 ปี แนะให้ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ด้านทีมนักวิเคราะห์กลุ่ม ปตท. ย้ำโลกกำลังเผชิญแรงกดดันอุปสงค์-อุปทานน้ำมันผันผวน
1 ธ.ค. 2568 – นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Shifting Tides: Navigating Economic Trends in Global, Asia and the Thai Region” ในงานสัมมนา 2025 The Annual Petroleum Outlook Forum ว่าโลกกำลังเผชิญกับปัจจัยความท้าทายที่ไม่ปกติ โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆของสหรัฐฯ ไม่ได้กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากนัก และ WTO ได้ประเมินการค้าโลกว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้
ขณะที่เอเชีย เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง อาเซียนโต 4.3% แต่เศรษฐกิจจีน จะอ่อนแอลง ส่วนประเทศไทยการส่งออกไม่ได้แย่ลง อย่างไรก็ตาม ยังมีผลกระทบจากการที่สินค้าจีนจะเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากจีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯได้น้อยลง จนต้องเปลี่ยนมาส่งออกสินค้าให้ไทยมากขึ้นถึง 30% ซึ่งปัญหานี้จะยังอยู่กับประเทศไทยไปอย่างน้อยอีก 5 ปี รวมถึงจีนมีการส่งออกผู้ประกอบการจีนเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทยด้วย ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวนใจ
“ไทยจำเป็นต้องก้าวสู่ความท้าทาย โดยต้องเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว และเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้น พร้อมปรับตัวให้เข้มแข็งเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต”นายกอบศักดิ์ กล่าว
ด้านทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. (PRISM Experts) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญแรงกดดันสองด้าน ทั้งจากอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอเพราะผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ประกอบกับอุปทานจากประเทศกลุ่ม OPEC+ และ Non-OPEC+ ที่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุปทานล้นตลาด จึงคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 2569 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 60 – 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะเดียวกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มีความรุนแรงขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ เร่งเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero โดยประเทศไทยปรับเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น จากปี 2065 เป็นปี 2050 ตั้งเป้าพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% มีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการเปลี่ยนผ่าน ควบคู่ไปกับการใช้ CCS ในการช่วยลดคาร์บอน
ขณะที่น้ำมันยังคงมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ พร้อมเดินหน้าผลักดันเทคโนโลยีใหม่ Hydrogen และ SMR มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน คือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้พลังงานฟอสซิลและการส่งเสริมพลังงานสะอาด เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและรองรับการเติบโตในอนาคต โดยประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัยและใช้ได้จริง การผลักดันการลงทุนสีเขียว การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดต้นทุน และการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน


