จ่อเสนอครม.เคาะภาษีบุหรี่ใหม่ภายในธ.ค. 'สรรพสามิต' ชงเก็บอัตราเดียว ปลดล็อกผลิตเบียร์-สุรากลั่น

‘สรรพสามิต’ ปักธงเสนอ ครม. เคาะปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ภายในเดือน ธ.ค. 68 ชงเก็บแบบอัตราเดียว เชื่อช่วยอุตสาหกรรมบุหรี่มีอิสระ-เสรีในการตั้งราคาขายมากขึ้น พร้อมเดินหน้ามาตรการคู่ขนานลุยปราบปรามบุหรี่เถื่อน ลั่นยกระดับเข้มข้น แจงปลดล็อกกฎกระทรวงเปิดช่องรายย่อยผลิตเบียร์-สุรากลั่นขายได้ เดินหน้าขยายฐานภาษี จ่อรีดสินค้าฟุ่มเฟือย-ความเค็ม

3 ธ.ค. 2568 – นายพรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างเร่งจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ (บุหรี่) เพื่อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา และจากนั้นคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในเดือน ธ.ค. 2568 และหากกฤษฎีกาตรวจร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเรียบร้อยก่อนยุบสภา ในเดือน ม.ค. 2569 ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบาย กฎหมายก็จะมีผลบังคับใช้ได้

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ จะเป็นแบบอัตราเดียว (1 Tier) โดยจะมีการขยับอัตราการจัดเก็บทั้งในส่วนของการจัดเก็บตามปริมาณ และการจัดเก็บตามมูลค่าเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ตามมูลค่า ที่ 25% ของราคาขายปลีกแนะนำ สำหรับบุหรี่ที่กำหนดราคาขายปลีกซองละไม่เกิน 72 บาท และ 42% ของราคาขายปลีกแนะนำ สำหรับบุหรี่ที่กำหนดราคาขายปลีกตั้งแต่ซองละ 72 บาท และให้จัดเก็บภาษีตามปริมาณ ที่ 1.25 บาทต่อมวน

“เรื่องนี้มีการศึกษามานาน มีการหารือกับหลายฝ่ายและส่วนใหญ่ยอมรับได้กับการจัดเก็บภาษีแบบ 1 Tier แต่จะต้องดูแลเรื่องผลกระทบกับคนที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันมองว่าการจัดเก็บภาษีบุหรี่แบบ 1 Tier นั้น จะเข้าทฤษฎีเรื่องดีมานต์และซัพพลายที่เสรีมากกว่าแบบ 2 Tier คือมีความเสรีและอิสระในการตั้งราคามากขึ้น และจะช่วยทำให้มีความหลากหลายในเรื่องของแบรนด์มากขึ้น ดังนั้นในอีกมุมหนึ่งผู้ประกอบการอาจไม่ต้องมาแข่งขันกันเรื่องราคาก็ได้ ส่วนที่ผ่านมาที่ใช้การจัดเก็บแบบ 2 Tier นั้น ต้องยอมรับว่าภาษีที่จัดเก็บได้ส่วนใหญ่มาจาก Tier ล่างเป็นหลัก และเชื่อว่าแม้จะมีการปรับมาใช้แบบ 1 Tier ก็ไม่น่ามีผลกระทบกับอุตสาหกรรมมากนัก เพราะระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการปรับและเปลี่ยนตัวเองกันเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องภาษี 1 Tire จึงไม่น่าผลทำให้ราคาบุหรี่ในตลาดเปลี่ยนมากนัก ขณะเดียวกันภายใต้สมมุติฐานทั้งหมดก็คาดว่าจะช่วยทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้เพิ่มขึ้นด้วย” อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว

สำหรับกรณีที่มีการมองว่าอัตราภาษีบุหรี่แบบ 2 Tier นั้นเป็นการบิดเบือนราคาขายปลีกในตลาดหรือไม่ นายพรชัย ระบุว่า ไม่อยากพูดว่าเป็นการบิดเบือนราคาตลาด แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อมีการจัดเก็บภาษีแบบ 2 Tier แน่นอนว่าผู้ประกอบการเกือบทุกรายก็จะวิ่งไปสู่ Tier ที่ต่ำกว่า ดังนั้นที่ผ่านมาจึงอาจเห็นในอุตสาหกรรมบุหรี่ทุกคนวิ่งไปเกาะที่ราคาขายปลีก 70-72 บาทเป็นหลัก แต่ทั้งหมดถือเป็นโครงสร้างที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องหาจุดสมดุลที่เหมาะสมกับตัวเอง ดังนั้นมองว่า เมื่อเอาเส้นเรื่องอัตราภาษี 2 Tier ออก ก็จะช่วยทำให้ตลาดมีความเสรีในการแข่งขันผ่านการตั้งราคามากขึ้น และสุดท้ายจะอยู่ที่ความต้องการของผู้บริโภคที่จะเลือกบริโภคบุหรี่ที่ระดับราคาแบบใด ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการก็อาจจะต้องไปแข่งขันกันต่อในเรื่องของคุณภาพ ประเภทใบยา เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ในส่วนของมาตรการควบคู่กับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่นั้น กรมสรรพสามิตจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามสินค้าลักลอบผิดกฎหมาย โดยจากการยกระดับการทำงานทำให้พบว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ผลการปราบปรามสินค้าลักลอบผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบุหรี่ ซึ่งจับได้เกือบ 4 พันคดี ของกลางกว่า 7 แสนซอง ทั้งนี้กรมสรรพสามิตจะเพิ่มความเข้มข้นในส่วนนี้เพื่อปราบปรามให้บุหรี่เถื่อนหายไปจากประเทศไทย

นายพรชัย กล่าวอีกว่า การปรับปรุงกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2568 ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตผลิตสุราครั้งนี้ มีการเพิ่ม ประเภทใบอนุญาตผลิตเบียร์และสุรากลั่นให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายย่อย เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับผู้ผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์สด รวมถึงการปรับปรุงข้อกำหนดด้านสถานที่ตั้งโรงอุตสาหกรรมสุรา เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อย โดยยังคงให้ผู้ประกอบการทุกประเภทต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และความปลอดภัยในการผลิต เช่น การมีระบบบำบัดน้ำเสีย และกระบวนการการผลิตสุรา เพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตสุราเป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค และไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม

“การกำหนดหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตผลิตสุราใหม่ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็นผู้ประกอบการผลิตสุราที่มีมาตรฐานในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมสุราของไทยให้มีมาตรฐานในระดับสากล กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต จะยังคงดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล ควบคู่กับการคุ้มครองผู้บริโภค รักษามาตรฐานเพื่อสังคม และส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการรายย่อยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายพรชัย กล่าว

สำหรับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2569 ของกรมสรรพสามิต อยู่ที่ 578,200 ล้านบาท โดยกรมฯ ตั้งเป้าหมายจะเร่งดำเนินการให้ได้ตามที่ได้รับมอบหมาย ขณะที่การจัดเก็บรายได้ในปี 2570 อยู่ที่ 611,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 5.7% ผ่านแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ รวมถึงการขยายฐานภาษีใหม่ ๆ อาทิ การขยายฐานภาษีสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขยายฐานภาษีสินค้าหรือบริการฟุ่มเฟือย จัดเก็บภาษีความเค็มเพื่อลดปัญหาสุขภาพ ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง