
ธนาคารกรุงไทย คือหนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ที่คนไทยคุ้นเคยกับชื่อเสียงและการให้บริการในหลายด้านที่ตอบโจทย์คนไทยมายาวนาน อย่างในช่วงปัจจุบัน ที่มีคนไทยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่งพลัส 20 ล้านสิทธิ์ผ่านแอปเป๋าตัง ซึ่งแอปเป๋าตังก็คือแอปพลิเคชันที่ธนาคารกรุงไทยพัฒนาขึ้นเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ที่รองรับโครงการคนละครึ่งมาตั้งแต่ยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และกลับมาใช้อีกครั้งในยุครัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่มีเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ธนาคารกรุงไทย จึงเป็นธนาคารที่เคียงข้างใกล้ชิดกับคนไทยมายาวนาน ตรงกับสโลแกนของธนาคารที่ว่า “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
จาก พันธกิจ-วิสัยทัศน์ขององค์กร ที่มุ่งเดินหน้าพัฒนาธนาคารกรุงไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินภายใต้วิสัยทัศน์และพันธกิจที่เคยประกาศไว้คือ Thailand Open Digital Platform เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและลูกค้าทุกกลุ่มในมิติต่างๆ โดยเฉพาะการเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของระบบการธนาคารเพื่อพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society
และจากสภาพสังคม-เศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของคนไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า คนไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวหรือเดินทางไปทำภารกิจต่างๆ ในต่างประเทศ จะนิยมถือบัตร Travel Card มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสะดวกในการใช้จ่ายและการเดินทาง ไม่ต้องห่วงเรื่องการแลกเงินตราต่างประเทศ และไม่ต้องพกเงินสดให้หนักกระเป๋า ทำให้บัตร Travel Card ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
โดย ธนาคารกรุงไทย ก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ดังกล่าว นั่นก็คือ Krungthai Travel Card ที่มีจุดเด่น หลายอย่าง อาทิ แลกเงินเรตดี รองรับการใช้จ่ายถึง 20 สกุลเงิน เช่น EUR, USD, GBP, CNY เป็นต้น อีกทั้งเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร Travel Card ไม่เสียค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยน 2.5%-กดเงินได้ทุกที่ทั่วโลก โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการกดเงิน (เฉพาะส่วนของธนาคารผู้ออกบัตร)-ฝากเงินเก็บไว้ในบัญชี Global Savings รับดอกเบี้ยสูงสุด 2.5% ต่อปี เป็นต้น
และเพื่อแสดงให้เห็นว่า บัตร Krungthai Travel Card ตอบโจทย์การเดินทางไปต่างประเทศ เพียงแค่มีบัตร Krungthai Travel Card ทำให้เมื่อเร็วๆ นี้ ทาง ธนาคารกรุงไทยได้พาคณะสื่อมวลชน เดินทางไปยังสองเมืองสำคัญของประเทศจีน คือ หางโจว ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบซีหูที่เป็นมรดกโลก หรือวัดหลิงอิ่น ที่สวยงามและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นต้น ที่สำคัญปัจจุบันหางโจว คือศูนย์กลางทางเทคโนโลยีของจีน โดยเป็นเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน คือกลุ่ม Alibaba Group ของ Jack Ma มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกชาวจีน โดยเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ค้าปลีกและบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีกลุ่มธุรกิจในเครือคือ Ant Group ที่เป็นเจ้าของแอป Alipay ที่เป็นแอปพลิเคชันชำระเงินและศูนย์รวมบริการออนไลน์เกือบทุกอย่างในการใช้ชีวิตประจำวันของคนจีน มีผู้ใช้งานต่อวันมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก
ซึ่ง ธนาคารกรุงไทย ที่นำโดยสองผู้บริหารคนสำคัญคือ นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย และนายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย ก็ได้พาคณะสื่อมวลชน ไปเยี่ยมชม ศึกษาดูงานที่บริษัท Ant Group ที่หางโจว ซึ่งทำให้สื่อมวลชนได้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ ถือเป็นทริปที่สร้างองค์ความรู้ เปิดวิสัยทัศน์ให้กับคณะเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนอีกหนึ่งเมืองที่ธนาคารกรุงไทยพาคณะสื่อมวลชนไปดูสังคมไร้เงินสดของประเทศจีนก็คือ เซี่ยงไฮ้ ที่เป็นเมืองระดับมหานครของจีน โดยเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองที่มีความสำคัญของประเทศจีนอย่างมาก เพราะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ มีชื่อเสียงด้านการเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงิน-เทคโนโลยีที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์หลายแห่ง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่างดิสนีย์แลนด์ ก็มีที่นครเซี่ยงไฮ้เช่นกัน
และสิ่งที่ได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู ในช่วงที่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ไม่ว่าจะเป็นที่ ถนนหนานจิง-ถนนซินเทียนตี้-ดิสนีย์แลนด์ หรือที่ร้าน CHAGEE และ HEYTEA สองร้านขายเครื่องดื่มสุดฮิต ที่คนไทยทุกคนที่ไปจีนต้องแวะไปซื้อมาดื่ม สิ่งที่พบก็คือ มีคนไทยไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้จำนวนมาก รวมถึงที่หางโจวแม้ไม่เยอะเท่าที่เซี่ยงไฮ้ แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันคนไทยนิยมไปเที่ยวเมืองต่างๆ ในจีนมากขึ้นเรื่อยๆ และการใช้บัตร Krungthai Travel Card ตามร้านค้าต่างๆ ที่เซี่ยงไฮ้และหางโจว ก็ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย เรียกว่ามีบัตร Krungthai Travel Card ใบเดียวสามารถรองรับทุกการใช้จ่ายในการเดินทางมาที่ประเทศจีน
ขณะเดียวกัน เมืองไทยก็ยังเป็นหมุดหมายสำคัญของคนจีนที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย และเพื่อเป็นการตอบโจทย์รองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาเที่ยวในไทย ทางธนาคารกรุงไทยก็เดินหน้าการให้บริการในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของธนาคารกรุงไทย
เพราะปัจจุบันธนาคารกรุงไทยจับมือ Alipay เพื่อเปิดบริการ Cross-Border QR Payment ไทย-จีน เพื่อยกระดับประสบการณ์เดินทางของนักท่องเที่ยวจีนให้สะดวกและมั่นใจกว่าเดิม โดยธนาคารกรุงไทย ร่วมมือกับ Alipay (Ant International) เปิดให้บริการชำระเงินผ่าน QR Code ข้ามพรมแดนไทย–จีน ตั้งแต่ 30ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถใช้ Alipay, WeChatPay และ UnionPay สแกน PromptPay QR จ่ายค่าสินค้าและบริการในร้านค้าได้โดยตรงไม่เสียค่าธรรมเนียม เป็นการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวจีนและสอดคล้องพฤติกรรม Cashless ที่สำคัญเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าขนาดเล็กเข้าถึงตลาดจีนได้มากยิ่งขึ้น สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม
โดยทาง ธนาคารกรุงไทย ได้รับการแต่งตั้งเป็น Settlement Bank ของประเทศ ด้วยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน PromptPay และศักยภาพด้านระบบชำระเงินระหว่างประเทศ เชื่อม PromptPay เข้ากับเครือข่ายชำระเงินสากลอย่างไร้รอยต่อ ผลที่ตามมาคือ สนับสนุนร้านค้าทั่วไทยให้เติบโตบนเศรษฐกิจดิจิทัลและรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวทำให้ Alipay สามารถเชื่อมต่อธุรกรรมข้ามพรมแดนกับไทยได้อย่างรวดเร็วปลอดภัย และไว้ใจได้ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถสแกนจ่ายค่าสินค้าและบริการได้ง่ายผ่านPromptPay QR ของร้านค้าไทยได้ทันที
จากข้อมูลพบว่า ไทยเป็นประเทศที่ชาวจีนใช้ Alipay มากที่สุด โดยใช้จ่ายเฉลี่ย 6,600 บาท/คน/วัน พบว่าปีที่ผ่านมาคือปี 2567 มีการเดินทางระหว่างไทย-จีนกว่า 8.8 ล้านคน โดยในปีนี้ 2568 พบว่าครึ่งปีแรกมีชาวจีนมาไทยแล้ว 2.3 ล้านคน แม้ลดลงแต่ยังมีศักยภาพการใช้จ่ายสูง และจากพฤติกรรม Cashless ทำให้การจ่ายด้วยมือถือเป็นช่องทางหลักของคนจีนยุคใหม่ เมื่อธนาคารกรุงไทยขยายบริการ QR Cross Border Payment จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงการรับชำระเงินแบบไร้รอยต่อ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถสแกนจ่ายค่าสินค้าและบริการในร้านค้าที่ใช้แอป “ถุงเงิน” ได้ทั่วประเทศผ่าน 3 แอปพลิเคชัน ได้แก่ AliPay, WeChat Pay และ Union Pay ได้โดยตรงผ่าน PromptPay QR
พบว่าปัจจุบันร้านค้าถุงเงินมีกว่า 2.6 ล้านร้านทั่วประเทศได้เข้าสู่ระบบ Cross-Border โดยมีฟีเจอร์ใช้งานง่าย เช่น แจ้งเตือนเงินเข้า สรุปรายรับและโอนเงินเข้าบัญชีแบบอัตโนมัติ ทำให้แม้จะเป็นร้านค้ารายย่อยในตลาด หรือที่ถนนคนเดินตามจังหวัดต่างๆ ตลอดจนร้านค้าพื้นที่ห่างไกล แต่ก็สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีนได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม เงินถึงร้านค้าไทยจริง เพราะเมื่อมีการใช้จ่ายเงินเกิดขึ้น เงินถูกโอนเข้าบัญชีทันทีแบบเรียลไทม์เป็นสกุลบาท ทุกธุรกรรมตรวจสอบย้อนหลังได้ ลดความเสี่ยงของเงินสด เช่น เงินทอนผิด เงินหายหรือการปลอมแปลง โดยร้านค้าไทยได้รับเงินเต็มจำนวน ไม่มีค่าธรรมเนียม 1–2.5% จากระบบเดิมที่จำกัดการรับจ่ายเฉพาะร้านค้าที่ลงทะเบียนถูกต้อง ซึ่งระบบใหม่ดังกล่าวทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยโดยตรง โดยเฉพาะร้านค้าเล็ก–SME ได้ประโยชน์สูงสุด มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ส่วนภาพรวมสำหรับเศรษฐกิจไทย คือทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวไหลเข้าสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่สำคัญเป็นการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเชื่อมกับแพลตฟอร์มระดับโลก ช่วยเสริมชื่อเสียงประเทศไทยด้านความพร้อมของ Digital Payment Infrastructure
การขับเคลื่อนไปข้างหน้าของธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ เรียกได้ว่า วิน-วิน กันทั้งนักท่องเที่ยวจีนและร้านค้าไทยและระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของธนาคารกรุงไทยต่อการพัฒนาองค์กรในการขับเคลื่อนภายใต้แนวทาง Money movement ecosystem เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงิน ให้เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันของสถาบันการเงิน เทคโนโลยี ผู้บริโภค และภาคธุรกิจ ร้านค้า ผ่านการชำระเงินดิจิทัล สมกับสโลแกนของธนาคารกรุงไทยที่ว่า “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”.

