MOU แร่สำคัญไทย-สหรัฐฯ เบิกทาง ฐานแร่ภูมิภาค - ทะลวงโปแตชอีสาน?

เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ชี้หลุมพราง MOU แร่สำคัญไทย – สหรัฐฯ  สวนกลับสถานทูตฯ ร่อนแถลงการณ์ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎหมายในประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของไทย จับตาดันฐานแร่ภูมิภาคโกยผลประโยชน์

2 พ.ย.2568 –เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ออกบทความระบุ  คล้อยหลังการอ่านแถลงการณ์คัดค้านและขอให้ยกเลิก MOU ระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกาว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญเมื่อวันที่ 30  ตุลาคม 2568 ที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยองค์กรภาคประชาชน ในนามเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ 27 องค์กร และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.

เฟซบุ๊กของสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ได้โพสต์ลดกระแสการคัดค้าน (รายละเอียดตามลิ้งค์นี้ https://www.facebook.com/share/p/19zetL6Hvk/) สรุปใจความสำคัญ  MOU ดังกล่าวมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ ส่งเสริมการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศและอุตสาหกรรมการแปรรูปของไทย ตลอดจนเพิ่มความเข้มแข็งและมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญและแร่หายากในสหรัฐฯ แต่ MOU นี้ “ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎหมายในประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของไทย”

ทั้งนี้มีรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมที่อยากจะชี้ให้เห็นว่า MOU ดังกล่าว มีเป้าหมายแอบแฝง เบี่ยงเบนและย้อนแย้งไปจากที่บอกว่าจะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎหมายในประเทศ

สหรัฐฯพยายามแก้ไขปัญหาความเสี่ยงทางด้านอุปทานหรือการผลิตแร่สำคัญและแร่หายากภายในประเทศของตนเองมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ยังจำเป็นต้องพึ่งพาแร่สำคัญและแร่หายากหลายชนิดจากต่างประเทศในปริมาณสูงมาก โดยเฉพาะจีนที่ใช้มาตรการจำกัดการส่งออกหลายรูปแบบเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมปลายน้ำของประเทศตัวเอง ซึ่งสหรัฐฯเห็นว่าเป็นมาตรการที่ขัดต่อข้อผูกพันที่จีนเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก

เมื่อปี 2560 ประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรกได้ออกคำสั่งประธานาธิบดีถึงสองครั้ง เพื่อลดการพึ่งพาแร่สำคัญและแร่หายากภายนอกประเทศ (โดยเฉพาะจีน) โดยมองเห็นว่าการที่สหรัฐฯพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบแร่สำคัญมากเกินไป ได้ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจและการทหารเกิดความเปราะบาง จึงได้มีนโยบายลดความเปราะบางที่อาจเกิดการชะงักงันของอุปทานแร่สำคัญจากภายนอกประเทศ โดยเน้นพึ่งพาผลผลิตแร่สำคัญภายในประเทศให้มากขึ้น 4 เรื่อง ได้แก่

1. ต้องหาแหล่งแร่สำคัญแหล่งใหม่ ๆ ภายในประเทศ

2. ต้องพึ่งพาแร่สำคัญภายในประเทศตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มากขึ้น ตั้งแต่การสำรวจ ทำเหมือง แยกแร่ รีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่

3. ช่วยเหลือและสนับสนุนให้ผู้ประกอบภายในประเทศเข้าถึงข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยาในระดับตื้นและระดับลึกให้มากขึ้น เพื่อมีข้อมูลตัดสินใจในการลงทุน

4. ต้องเร่งรัดกระบวนการ/ขั้นตอนในการอนุมัติ/อนุญาตการสำรวจและทำเหมืองแร่ให้รวดเร็วขึ้น

แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

สหรัฐฯมีความกังวลใจเป็นอย่างสูง เพราะเห็นว่าโลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีที่ต้องพึ่งพาพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนอื่น ๆ ที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลโดยตรงให้เกิดความต้องการในการใช้แร่สำคัญและแร่หายากเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะข้อเท็จจริงที่ดำเนินอยู่ ก็คือ สหรัฐฯยังคงพึ่งพาการนำเข้าแร่สำคัญจากต่างประเทศสูงถึง 31 ชนิด จาก 35 ชนิด

โดยตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาจีนได้ผลิตแร่หายาก (เป็นส่วนหนึ่งของแร่สำคัญ) มากกว่าร้อยละ 80 ของผลผลิตโลก ทั้งที่ในทศวรรษ 1980 สหรัฐฯเป็นผู้ผลิตแร่หายากมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก จนส่งผลให้ในปี 2565 สหรัฐฯได้ระบุว่าการพึ่งพาแร่สำคัญจากต่างประเทศมากเกินไปถือเป็นภัยคุกคามที่ไม่ปกติต่อความมั่นคงของชาติและระบบเศรษฐกิจ จึงได้ประกาศให้เร่งจัดการภัยคุกคามดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินของประเทศทีเดียว โดยมีทางออกสองทาง

หนึ่ง – ยังคงกระตุ้นและส่งเสริมให้มีการลงทุนแร่สำคัญและแร่หายากภายในประเทศ

สอง – เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อจำกัดภาวะชะงักงันและกระจายความเสี่ยงการผูกขาดการผลิตแร่สำคัญและแร่หายาก

ดังนั้น MOU ดังกล่าว มิอาจปฏิเสธได้ว่าจะไม่ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎหมายในประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของไทย

จึงคาดเดาว่า หลัง MOU ฉบับนี้ จะมีความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯและไทยเพื่อกระตุ้นให้เกิดมีการทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากภายในประเทศที่มากขึ้นอย่างแน่นอน แม้ว่าข้อมูลปัจจุบันระบุว่าประเทศไทยไม่มีแร่หายากมากเพียงพอที่จะผลิตได้ แต่แร่สำคัญที่เป็นแร่เป้าหมายของสหรัฐฯ อาทิเช่น พลวง ทังสเทน โปแตช ดีบุก แบไรท์ แมงกานีส ล้วนมีมากพอควรบนผืนดินไทยที่จะผลิตออกมาได้ โดยเฉพาะแร่โปแตชบนผืนแผ่นดินอีสานที่เกิดการทำเหมืองขึ้นแล้วเป็นแห่งแรกที่ ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอยู่ ณ เวลานี้ ที่หน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการยังคงเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา ชดใช้ความเสียหายและฟื้นฟูเหมือง

รวมถึงไทยเองยังคงเป็นแหล่งนำเข้าแร่สำคัญหลายชนิดจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์และลาว เพื่อนำมาแปรรูปด้วยการทำให้แร่มีความเข้มข้นขึ้นแล้วส่งออก และมีโรงงานผลิตแม่เหล็กคุณภาพสูงอยู่ในประเทศ อีกด้วย ซึ่ง MOU ดังกล่าวจะเกิดการกระตุ้นอย่างเข้มข้นให้ประเทศไทยเป็นช่องทางนำเข้าแร่สำคัญเหล่านั้นให้มากขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ดร.อานนท์' เปรียบ MOU แรร์เอิร์ธ แค่จดหมายจีบกัน ไม่ใช่สนธิสัญญา ไม่มีผลผูกพัน

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

นายกฯ ไม่กังวลเอ็มโอยู 'แรร์เอิร์ธ' กระทบสมดุลประเทศมหาอำนาจ พร้อมอธิบายให้จีนเข้าใจ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีการลงนามเอ็มโอยู แรร์เอิร์ธ กับสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนอยากทราบความชัดเจนว่า เป็นการลงนามว่าถ้าในอนาคตวันหนึ่งเกิดมีแร่อะไรในประเทศไทยขึ้นมา

รัฐบาล แจงยิบ MOU 'แร่หายาก' เป็นยุทธศาสตร์เจรจาสหรัฐฯ ขอยกเว้นหรือลดภาษี 19%

ครม.รับทราบลงนาม MOU “แรร์เอิร์ธ” ไทย-สหรัฐฯ หลังที่ประชุมนัดพิเศษไฟเขียว เมื่อ 23 ต.ค. โร่แจง แม้เปิดโอกาสลงทุน-สำรวจ แต่ยึดตามกฎหมายแร่ไทย ต้องเปิดประมูลอย่างเสรี ไม่ใช่ให้สหรัฐฯ โดยตรง ด้าน “เอกนิติ” รับเป็นการปูทางเจรจาภาษีสหรัฐฯ หวังใช้ความสัมพันธ์ที่ดี ลดจาก 19 % เพื่อเพิ่มความแข่งขันในอาเซียน

'ที่ปรึกษา รมช.อุตฯ' ชี้ MOU แร่หายาก สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทย

ตามที่ สส.พรรคประชาชน มีข้อกังวลเกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นั้น

ชำแหละ 4 ข้อ ไทยเสียเปรียบสหรัฐ MOU แร่หายาก

รุมจวก "MOU แรร์เอิร์ธ" ชี้ไทยเสียเปรียบเต็มประตูกลายเป็นเบี้ยล่างสหรัฐ สส.ปชน. เผย 4 ข้อถูกบีบ ขณะที่นักวิชาการเชื่อซ้ำเติมสถานการณ์สารพิษเหมืองแร่ลงแม่น้ำข้ามแดน