พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลแพทองธารในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย จุดที่กระแสยุบสภาภายในปีนี้กลายเป็น “ความเป็นไปได้” ที่ชัดเจนซึ่งทุกพรรคต้องเตรียมรับมืออย่างจริงจัง
การถอนตัวครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากคลิปเสียงระหว่างแพทองธารกับฮุนเซน หรือแรงกดดันภายนอกแต่อย่างเดียว แต่เป็นผลจากการที่พรรคถูก ยึดคืนกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของการต่อรองอำนาจ ส่งผลให้สถานะของพรรคในรัฐบาลถูกลดลงอย่างชัดเจน
เมื่อสถานะของภูมิใจไทยในรัฐบาลเริ่มลดลง โจทย์ใหม่ของพรรคจึงไม่ใช่แค่จะอยู่หรือจะไป แต่คือจะไปอย่างไร และจะ “ไปถึงไหน” ในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป
รัฐบาลแพทองธารกำลังสั่นคลอนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังกรณีคลิปเสียงที่สะท้อนถึง ความไม่พร้อมของตัวนายกรัฐมนตรีในการแบกรับภาระระดับชาติ
ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ยัง ไม่อาจหลุดพ้นจากอำนาจของตระกูลชินวัตร แม้เปลี่ยนตัวบุคคลขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่กระบวนการตัดสินใจหลักยังคงผูกอยู่กับศูนย์กลางเดิม ทั้งหมดในแง่ของบุคคลและวิธีคิด
ฐานเสียงในเมืองและชนชั้นกลางจึงเริ่มถอยห่าง ไม่ใช่เพียงเพราะพรรคขาดวิสัยทัศน์หรือแรงจูงใจใหม่ ๆ แต่เพราะพรรค ยังยึดติดกับกรอบอำนาจแบบครอบครัว ที่วนเวียนอยู่กับความสำเร็จในอดีต มากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้แนวทางใหม่ที่ตอบโจทย์อนาคต
พรรคที่ยังหมุนรอบคนเดิม วิธีคิดเดิม ย่อมตามไม่ทัน ความเปลี่ยนแปลงของการเมืองยุคใหม่ที่พลิกหน้าไปแล้ว ในยุคนี้ การตัดสินใจของประชาชนไม่ได้พึ่งพาเพียงระบบหัวคะแนนแบบเดิมเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าพรรคใดมีนโยบายที่สามารถฝากความหวัง และนำพา ความฝันสู่จุดหมายปลายทาง ได้จริง
เพราะในสนามการเมืองจริง บางครั้งกระสุนที่มีอาจไม่พอ ต้องอาศัยกระแส และพลังความหวังที่พรรคส่งผ่านสู่ผู้คน
เช่นเดียวกับพรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกลเดิม ที่แทบไม่มีฐานเสียงหัวคะแนนเดิม แต่กลับเป็นผู้ชนะเลือกตั้งด้วยการสร้างกระแสและความหวังใหม่ในสังคมได้สำเร็จ
ตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทยในวันนี้กลับถูกบีบทั้งจากภายในและภายนอก ทักษิณ ชินวัตร ในวัย 76 แม้ยังพยายามขยับเกมจากเบื้องหลัง แต่แรงกดดันทางกฎหมายเริ่มโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เดือนกรกฎาคมนี้จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีมาตรา 112 รวมถึงการไต่สวนคดีว่าการนอนรักษาตัวบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจถือเป็นการบังคับโทษตามหมายจำคุกหรือไม่
สถานะทางกฎหมายที่ไม่มั่นคงกำลังกลายเป็น ภาระซ้อนในทางการเมือง ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นใจภายในพรรคเพื่อไทย
หากผลออกมาไม่เป็นใจ ทักษิณอาจต้องเข้าสู่เรือนจำอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งจะสั่นคลอนเสถียรภาพของพรรคเพื่อไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อคนที่เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจต้องหลุดจากเกมอย่างสมบูรณ์ คำถามใหญ่จึงตามมาทันทีว่า “แล้วใครจะนำพาพรรคต่อจากนี้”
แพทองธารและพานทองแท้ ยังไม่สามารถยืนหยัดเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากสังคมได้จริง “แพทองธาร” ถูกตั้งคำถามเรื่องวุฒิภาวะอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการตัดสินใจและภาวะผู้นำในสถานการณ์วิกฤต
ขณะที่ “พานทองแท้” นอกจากจะไม่มีบทบาททางการเมือง ยังขาดทั้งบุคลิกความเป็นผู้นำ และไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเข้าใจหรือสนใจบทบาททางการเมืองอย่างจริงจัง
พรรคที่เคยมีทักษิณเป็นศูนย์กลาง จึงกลายเป็นพรรคที่ไร้แกนกลางทางอำนาจขึ้นเรื่อยๆ
ความเสื่อมถอยของพรรคเพื่อไทยยังมาพร้อมกับ ภาวะไร้ทางเลือก ของฝ่าย อนุรักษ์นิยม
พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยเป็นเสาหลักของกลุ่มคนเมืองวันนี้แทบไม่เหลือพลัง ทั้งปัญหาความขัดแย้งภายใน ภาวะไร้น้ำหนักของผู้นำ และโครงสร้างพรรคที่ล้าหลัง ทำให้เกิดการประเมินกันกว้างขวางว่าอาจเหลือ สส.ไม่ถึง 10 คนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเคยเป็นความหวังใหม่ของกลุ่มอนุรักษ์นิยม วันนี้กลับตกอยู่ในภาวะไร้ทิศทางอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงแพทองธาร–ฮุนเซน ที่พรรคแสดงท่าทีคลุมเครือ ไม่ชัดว่าจะถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ ตอบกลับไปกลับมา จนถูกมวลชนวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่มีจุดยืนในยามวิกฤต
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จึงกลายเป็นเป้าหมายของเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถูกมองว่า ยอมแลกอุดมการณ์เพื่อรักษาตำแหน่งในรัฐบาล จนสูญเสียความไว้วางใจจากฐานเสียงเดิมที่เคยหนุนพรรคอย่างเหนียวแน่น
กลุ่มอนุรักษ์นิยมจำนวนมากจึงตกอยู่ใน ภาวะไร้บ้านทางการเมือง ไม่เอาเพื่อไทย ไม่ไว้ใจพรรคประชาชน และหมดศรัทธากับพรรคที่เคยหนุนพลเอกประยุทธ์ในอดีต
นี่คือช่องว่างสำคัญที่พรรคภูมิใจไทยสามารถก้าวขึ้นมาเติมเต็มได้ หากรู้จักพลิกตัวจาก พรรคภูมิภาคนิยม ไปสู่พรรคระดับชาติที่ “พูดกับคนเมืองได้จริง”
แต่คำถามสำคัญคือ พรรคพร้อมแค่ไหนที่จะ ข้ามพรมแดนจากชนบทเข้าสู่เมือง
การที่ภูมิใจไทยยังไม่เคยได้ สส.เขตในกรุงเทพฯ แม้แต่คนเดียว สะท้อนชัดว่าพรรคยังเข้าไม่ถึงฐานเสียงคนเมืองอย่างแท้จริง แม้ในบางจังหวัดใหญ่จะมีฐานคะแนนในบางเขต แต่ก็ยังไม่สามารถขยายผลเป็นความเชื่อมั่นในระดับเมืองได้จริง
หากภูมิใจไทยยังเดินเกมแบบเดิม วางนโยบายแบบเดิม หรือพูดกับกลุ่มเป้าหมายแบบเดิม พรรคก็จะเป็นได้แค่ พรรคต่อรองกลางสภา ไม่สามารถก้าวข้ามมาเป็นผู้เล่นหลักได้
ภารกิจที่ยากที่สุดคือการสลัดภาพพรรคท้องถิ่น และสร้างภาพพรรคของ “คนเมือง” ให้เป็นรูปธรรม
นโยบายแบบเดิมที่เน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แม้จะสื่อสารได้ดีในพื้นที่ชนบท แต่กลับไม่อาจตอบสนองความคาดหวังของคนเมืองที่ต้องการ คำตอบเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านระบบภาษี ความยุติธรรม การกระจายอำนาจ และการปฏิรูประบบราชการ
สิ่งที่พรรคต้องเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เนื้อหานโยบาย แต่คือวิธีคิดและภาษาที่ใช้พูดกับสังคม และนโยบายไม่ควรเป็นเพียงแผ่นพับในฤดูเลือกตั้ง แต่ต้องกลายเป็น “ภาษาหลักของพรรค” ที่สะท้อนจุดยืนของผู้นำอย่างแท้จริง
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในสมการนี้ เพราะมีต้นทุนครบ อายุ 59 ปี มีเงินทุน เครือข่าย และครองบทบาทผู้นำทางการเมือง แต่ที่ผ่านมา อนุทินวางตัวแบบนักเจรจา ไม่สร้างศัตรู แต่ก็ไม่เคยสร้างสาวกเช่นกัน
หากต้องการพาพรรคไปพ้นกรอบเดิม ต้องเริ่มวางตัวแบบ “ผู้นำทางความคิด” มากกว่าผู้นำเชิงต่อรอง ต้องกล้าแสดงวิสัยทัศน์ว่า “ประเทศควรไปทางไหน” และ “คนเมืองควรฝากความหวังอะไรไว้กับพรรคของเขา” ไม่ใช่แค่บริหารสมดุลกลุ่มต่างๆแบบเดิม
ต้องกล้าพูดกับ ความฝันของผู้คน ไม่ใช่แค่พูดกับหัวคะแนน และต้องกล้านำพรรคไปสู่การเป็น พรรคอนุรักษ์นิยมสายใหม่ ที่มีเป้าหมายชัดในการปฏิรูปโดยไม่ล้มระบบ
ถ้าภูมิใจไทยสามารถดึงแรงสนับสนุนจากกลุ่มเดิมของเพื่อไทยที่เริ่มหมดศรัทธา และแทรกตัวเข้าไปในช่องว่างระหว่างพรรคประชาชนกับความเบื่อหน่ายต่อระบบเดิมได้จริง
พรรคจะไม่ใช่แค่ตัวแปรร่วมรัฐบาลหลังเลือกตั้ง แต่จะกลายเป็น “พรรคที่กำหนดทิศทางประเทศ” ได้เลย
สำหรับอนุทิน จุดนี้ไม่ใช่แค่โค้งสุดท้ายของวัยหรือเวลา แต่คือหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะตัดสินว่าจะกลายเป็น “ผู้นำประเทศ” หรือกลับไปเป็นเพียงนักการเมืองกลางสภาเหมือนเดิม
โอกาสแบบนี้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่คำถามสำคัญคือ ภูมิใจไทยจะกล้าก้าวขึ้นมาเป็น “สะพาน” เชื่อมชนบทกับเมืองได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ในขณะที่เพื่อไทยกำลังโรยแรง และฝ่ายอนุรักษ์นิยมหลายกลุ่มกำลังไร้บ้านทางการเมือง
นี่ไม่ใช่เพียงบททดสอบของพรรคภูมิใจไทย แต่ยังเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย หากพรรคสามารถสร้างสะพานระหว่างชนบทกับเมือง และส่งต่อความหวังไปยังประชาชนได้จริง พรรคนี้จะก้าวขึ้นเป็นมากกว่าผู้เล่นร่วมรัฐบาลธรรมดา กลายเป็น ผู้นำที่กำหนดทิศทางประเทศอย่างแท้จริง
ในเวลาที่การเมืองไทยต้องการทั้งความมั่นคงและการเปลี่ยนผ่านอย่างเร่งด่วน พรรคภูมิใจไทยจึงมีโอกาสเป็นคำตอบเดียว ที่สามารถพาประเทศเดินหน้าไปพร้อมกันได้ ทั้งชนบทและเมือง อย่างสมดุลและยั่งยืน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE ดับฝัน..วันไร้นาย สังเวียนนี้ไม่มี..แลนด์สไลด์ | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘สมชาย’ ซูฮก ‘ลูกชาย’ มั่นใจทำงานเพื่อชาติได้ โตขนาดนี้แล้วต้องปล่อยอิสระ ‘พ่อ-แม่’ จะอยู่เบื้องหลัง
ที่พรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะบิดานายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอชื่อ นายยศชนัน เป็นแ
นายกฯ ถก สมช. รถขนน้ำมันช่องเม็กไปลาว ไม่เลี้ยวขวาเข้าเขมร โต้ใช้อาวุธหนักไล่ไปดูคลิปใครรุนแรงกว่า
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภ
เอาแล้ว! นักวิชาการหนุนพรรคประชาชน ยก 2 เหตุผล จี้ ‘เท้ง’ ไขก๊อกพ้นหัวหน้าพรรค
“ไชยันต์ รัชชกูล” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งแสดงตัวเป็นผู้สนับสนุนพรรค
กกต. เคาะ 8 ก.พ.69 วันเลือกตั้ง สส. พร้อมเปิดไทม์ไลน์กำหนดการ
กกต. เห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง หย่อนบัตรอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.69 รับสมัคร 27-31 ธ.ค.นี้
ไม่พลิกโผ! เพื่อไทย เปิด 3 แคนดิเดตนายกฯ 'สุริยะ-ยศชนัน-จุลพันธ์' 16 ธ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า สำหรับรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จำนวน 3 คนที่จะเปิดตัววันที่ 16 ธ.ค.ในกิจกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" ประกอบด้วย นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์

