'หมอยง' ชี้ยังไร้ข้อสรุปใช้ 'Montelukast' รักษาผู้ป่วย RSV หลอดลมฝอยอักเสบ

27 ต.ค. 2566 – ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า RSV ไม่มีข้อสรุปเพียงพอในการใช้ Montelukast ในผู้ป่วย RSV ที่มีหลอดลมฝอยอักเสบ (bronchiolitis )

ปีนี้มีการระบาดของ RSV อย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ปี หลังจากที่สังคมกลับคืนเข้าสู่ชีวิตปกติหลังโควิด 19 RSV เริ่มระบาดตั้งแต่รายเดือนมิถุนายน และคงจะไปสิ้นสุดเอาสิ้นปีนี้ สายพันธุ์ที่ระบายส่วนใหญ่ยังเป็น RSV A สายพันธุ์ย่อย ON1

ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีการใช้ Montelukast (anti leukotriene) กันมากในการรักษาผู้ป่วย RSV ที่มีหลอดลมฝอยอักเสบ และให้ระยะยาว เพื่อป้องกันการเกิดอาการหอบในเด็ก

ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่มีเหตุผลเพียงพอ โดยจะขอเล่าเหตุการณ์ดังนี้

ในปี 2003 Bisgaard H และคณะที่เดนมาร์กได้ทำการศึกษาให้ Montelukast โดยการให้ยาเปรียบเทียบกับกลุ่มให้ยาหลอก ในผู้ป่วย RSV ที่มีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ ได้ผลลดอาการและระยะเวลานอนโรงพยาบาล จึงเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งและมีการพูดถึงกันมาก และมีการวิพากษ์วิจารณ์งานของ Bisgard ซึ่งท่านก็ตอบว่างานดังกล่าวเป็นการศึกษานำร่องสร้างสมมติฐานขึ้นมาเท่านั้นและยอมรับว่ามี confounding factors

ดังนั้น Bisgaard จึงได้ทำการศึกษาซ้ำที่มีข้อมูลใหญ่ขึ้น และควบคุมกลุ่มอายุที่ดีขึ้นเผยแพร่ในปี 2008 ในผู้ป่วย RSV ที่มีหลอดลมฝอยอักเสบ และให้ยา Montelukast เป็น double blind study เปรียบเทียบกับยาหล่อก ผลปรากฏว่าการให้ยา Montelukast ไม่มีผลต่อการรักษา RSV ที่มีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ

หลังจากนั้นมีการวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มเติมตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยนักวิจัยกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะทำการศึกษาแบบ systematic review หรือ metaanalysis และ Cochrane Database ก็ได้ผลออกมาในทำนองเดียวกัน คือยังไม่สามารถสรุปได้ว่า Montelukast มีผลช่วยในการรักษา RSV ที่มีหลอดลมฝอยอักเสบ

ในขณะเดียวกัน ก็ไม่เข้าใจว่าการรักษาในประเทศไทยมีการใช้ Montelukast เป็นจำนวนมากและระยะยาวในผู้ป่วย RSV ทั้งที่ยามีราคาแพงมาก และอาจพบอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้

การติดตามการศึกษาระยะยาวและต่อเนื่อง จะทำให้ทราบว่า Montelukast ไม่ได้ประโยชน์ในผู้ป่วย RSV และทำให้ต้องเสียเงินในการรักษาเพิ่มขึ้น

จะเห็นได้ชัดว่า ผู้ใช้จะอ้างเอกสารอ้างอิง 2003 แต่ขณะเดียวกัน ทีมเดียวกันและมีผู้อื่นทำการศึกษาอีกมากหลังจากนั้น พบว่าไม่ได้ผล.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จุฬาฯ-มหิดล ผนึกกำลังสร้างนวัตกรรมเวชสำอางจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ไทย เตรียมทดสอบทางคลินิกที่ศิริราช

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามถ่ายทอดเทคโนโลยี "AnthoRice™ Complex" นวัตกรรมเซรั่มบำรุงรากผมจากสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ไทย

จุฬาฯ จับมือ Founder Institute สหรัฐฯ เปิดตัวโครงการ 'Go Global Startup Bootcamp: Chula - DC Silicon Startup Bridge' ปั้นสตาร์ทอัพไทยสู่เวทีโลก

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) เดินหน้ายกระดับศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมไทย เปิดโครงการ “ติดอาวุธเสริมศักยภาพธุรกิจนวัตกรรมสู่สากล (Go Global Startup Bootcamp): Chula – DC Silicon Startup Bridge” ร่วมกับ Founder Institute (FI) ประเทศสหรัฐอเมริกา” ซึ่งเป็นเครือข่ายนักลงทุน การบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการบริษัทสตาร์ทอัพของไทย ในการเตรียมความพร้อมสู่การพัฒนาธุรกิจในระดับสากล ทั้งในด้านองค์ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การระดมทุน ตลอดจนการก้าวเข้าสู่เครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลก

ผลวิจัยชี้ 'ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่' มีผลเล็กน้อย หรือไม่มีเลย

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้คความผ่านเฟซบุ๊กว่า ยาต้านไข้หวัดใหญ่เกือบทั้งหมดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย