ว่าด้วยศิลปะในการด่าของ'อาจารย์เหลิม'


เพิ่มเพื่อน    

 

        อาจารย์-เหลิม หรือ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ อภิมหาอัครโคตะระศิลปินแห่งจังหวัดเชียงรายนั้น...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ท่านช่างเป็น นักด่า ที่สามารถ ด่าได้อย่างสร้างสรรค์ เอามากๆ คือด่าอย่างก่อให้เกิด สติ และ ปัญญา สำหรับบรรดา ผู้ที่ถูกด่า ไม่มาก-ก็น้อย โดยเฉพาะการ ด่าผู้ที่ชอบด่า แบบชนิดแทบเถียงไม่ทัน เถียงไม่ออก ยิ่งเจอกับบุคลิกลีลาการวาดมือ วาดไม้ กางมือ กางไม้ ประกอบคำด่า หรือคำบรรยาย ในแต่ละวรรค แต่ละประโยค เผลอๆ...อาจถึงขั้นต้องหันไปอมสากกะเบือ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                                             ----------------------------------------------------

            คือแม้จะมี เหี้ย-ห่า และสารพัดสัตว์ กระจัดกระจาย ทะลักหลั่งควั่งพรู อยู่ภายในคำพูด คำจา แต่ละวรรค แต่ละประโยค อยู่บ้างพอเป็น กระสาย แต่ก็ออกจะเป็นอะไรที่ ไหลลื่น ฟังไพเราะ เสนาะหู มิใช่น้อย อาจด้วยเหตุเพราะเป้าประสงค์ จุดมุ่งหมายในการ ด่า ของ อาจารย์-เหลิม นั้น ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันใดๆ กับความโกรธ เกลียด  เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชัง เอาเลยแม้แต่น้อย หรือไม่ได้ ซาดิสต์ เหมือนลักษณะลีลา ท่าทาง แต่ออกไปทาง โรมันคาทอลิก หรือ โมแลงติก (โรแมนติก) ซะมากกว่า คือมุ่งมาด ปรารถนา ที่จะให้ผู้คนรักกัน ร่วมมือ-ร่วมใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศแห่งการเผชิญหน้ากับ เชื้อโควิด ที่ออกจะมาแรง แซงโค้ง ไปในระดับทั่วทั้งโลกโน่นเลย ไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา เท่านั้น...

                                                               -----------------------------------------------------

            ดังนั้น...คำว่า ไอ้-เหี้ย ที่ อาจารย์-เหลิม ท่านหยิบมาเป็นคำโปรย และคำสร้อย ต่อหัว-ต่อท้ายในแต่ละวรรค แต่ละประโยค มันเลยไม่ถึงกับเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง ระคายหู ระคายเคือง อะไรมาก เผลอๆ...ดูน่ารัก น่าเอ็นดู กว่าคำสุภาพๆ อย่างคำว่า วรนุส ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หรือแม้แต่คำว่า แม่งง์ง์ง์ คำว่า ไอ้-ห่า ไอ้-ฉิบหาย กลับกลายเป็นถ้อยคำที่มีส่วนก่อให้เกิด แรงกระตุ้น ในการหันมาร่วมมือ-ร่วมใจ ระหว่างผู้คนในสังคมเดียวกัน เลิกด่าว่า ด่าทอ เหยียดหยาม เยาะเย้ย เสียดสีและนินทา อันเป็นสิ่งที่แทบไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ยิ่งก่อให้เกิดความสับสน วุ่นวาย อุตลุด ชุลมุน โกลาหล หนักยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

                                                                ----------------------------------------------------------

            ใครที่มีโอกาสได้ดู คลิปวิดีโอ ที่ อาจารย์-เหลิม ท่านเอามาโพสต์ มาแชร์ อยู่ในโลกโซเชียล มีเดีย ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ถึงความละมุน ละไม ความนุ่มนวลและโมแลงติก ของอัครมหาโคตะระศิลปินผู้นี้ ที่ปรารถนาและต้องการอยากจะให้บรรดา ทวยไทย ทั้งหลาย รักกันให้มากเข้าไว้  โดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศหน้าสิ่ว-หน้าขวาน หน้าข้าว-หน้าเหล้า อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะมีแต่ ความรัก หรือ ความปรารถนาดี ซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง ที่มันอาจพอช่วยบรรเทา ช่วยทุเลา เบาบาง สิ่งที่เป็น ปัญหา ในระดับหาทางออก ทางไปแทบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย  รัฐบาลไทย หรือประเทศบ้านอื่น เมืองอื่น แม้แต่รัฐบาลที่ทรงอิทธิพลและอำนาจ อย่างรัฐบาลอเมริกัน ยุโรป จนไล่มาถึงรัฐบาลอินเดียก็แล้วแต่ สุดท้าย...หนีไม่พ้นต้อง ใบ้แ-ก ไปด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเจอ ศัตรูที่มองไม่เห็น อย่างท่านเชื้อโควิด เข้าไปแบบจะจะ จังๆ

                                                                    -----------------------------------------------------

            ดังนั้น...การออกแรงกระตุ้นให้ผู้คนหันมามีความรัก ความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะด้วย การด่า ก็เถอะ!!! ของ อาจารย์-เหลิม คราวนี้ คงต้องถือเป็น ปิยวาจา หรือ สัมมาวาจา ในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ว่าอาจลอกเลียนแบบค่อนข้างยากอยู่พอสมควร หรือคงต้องยกให้เฉพาะ หนึ่งเดียวคนนี้ แต่เพียงเท่านั้น ที่สามารถเหี้ย-ห่า-และสารพัดสัตว์ ได้อย่างไพเราะ เพราะพริ้ง เอามากๆ ฟังแล้วรื่นหู ลื่นไหล อย่างมิอาจปฏิเสธ ส่วนบรรดา ไอ้ห่า และ ไอ้เหี้ย ทั้งหลาย จะรู้สึกอย่างไร หรือจะคิดเห็นเป็นประการใด อันนั้น...คงต้องลองไปสอบถาม แม่งง์ง์ง์ เอาเองก็แล้วกัน...

                                                                     --------------------------------------------------

            สรุปเอาเป็นว่า...ก็อย่างที่เคยพูดๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า ภายใต้บรรยากาศประมาณนี้ สภาพนี้ สิ่งที่ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา อาจพอสร้าง ขีดความสามารถ ในการหาทางออก ทางไป หรือทางรอด ได้มั่ง ย่อมหนีไม่พ้นไปจากประสิทธิภาพ หรือศักยภาพ ของสิ่งที่เรียกว่า เครือข่ายป้องกันทางสังคม นั่นแหละ ว่าจะมีมาก-มีน้อย ขนาดไหน ระดับไหน สามารถหยิบเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะแฝงฝังอยู่ในวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมทางสังคม ไปจนถึง ศาสนา เอาเลยก็แล้วแต่ มาใช้รองรับ ใช้เผชิญหน้ากับ ปัญหา ที่อีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ มันอาจหนักซะยิ่งกว่านี้อีกไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง มาก-น้อยเพียงใด???

                                                                     -------------------------------------------------

            ส่วน รัฐบาล นั้น...ก็เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านมา-แล้วผ่านไป ไม่ได้ถือเป็น โจทย์ หลักๆ ที่ต้องหยิบมาตั้งคำถามอะไรกันมากมาย ส่วนจะถือเป็นที่ ระบาย เป็น ถังขยะ ของใคร-ของมัน ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะตราบใดที่สังคมเล็กๆ ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ดันขาดเสียซึ่ง ความรัก และ ความปรารถนาดี ซึ่งกันและกัน อันเคยถือเป็น จุดแข็ง หรือ จุดเด่น ของสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นไทย ลงไปซะแล้ว โอกาสที่จะ ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย กันไปทั้งแผง ทั้งยวง ระดับถึงขั้นสิ้นชาติ สิ้นประเทศ เอาเลยก็ไม่แน่!!! แล้วคราวนี้...จะหันไปด่าใคร? หันไปโทษใคร? กันดีล่ะไอ้ห่า ไอ้ฉิบหาย แม่งง์ง์ง์...มีแต่ต้องหันมาด่าตัวเอง โทษตัวเอง เท่านั้นเอง...

                                                                         -----------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Shakespeare’s  Othello...“What can’t be cured must be endured. - สิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้...ต้องอดทนต่อสิ่งนั้น...”

                                                                           ------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"