5 พ.ค. 2564  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารถขนส่งผลไม้จากไทยที่ผ่านด่านมุกดาหาร ไปยังด่านเวียดนาม ก่อนเข้าสู่จีน ที่ด่านโหย่วอี้กวน ที่มีปัญหาการจราจรติดขัด ทำให้การผ่านแดนใช้เวลานาน ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้รับทราบปัญหานี้แล้ว และได้สั่งการให้มีการเร่งประสานงานแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน โดยดำเนินการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ที่หนานหนิง กับทูตเกษตรที่กวางโจว ประสานงานให้ด่านโหย่วอี้กวนรับทราบ และขอความร่วมมือให้เปิดช่องทางเข้าออกเพิ่มจาก 6 ช่องเป็น 12 ช่อง ซึ่งได้รับความร่วมมือในการตอบรับที่จะเร่งดำเนินการแล้ว คาดว่าในอีกไม่กี่วัน การจราจรของส่งผลไม้ไทยไปยังจีนจะคล่องตัวขึ้น ส่วนอีกเหตุผลที่ทำให้ติดขัดมาก เพราะเป็นช่วงวันแรงงานที่เป็นวันหยุดยาว ทำให้การให้บริการที่ด่านลดจำนวนเจ้าหน้าที่ลงทั้งในส่วนของจีนและเวียดนาม

          ส่วนการดำเนินเพื่ออำนวยความสะดวกการส่งออกผลไม้ไทยไปจีน ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เร่งดำเนินการเชิญผู้ประกอบการขนส่งสินค้าหรือผลไม้ไทย ผ่านมุกดาหาร สปป.ลาว เวียดนาม เข้าด่านโหย่วอี้กวน จีน ได้เข้ารับการอบรมให้ความรู้ เรื่องมาตรการกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้งเอกสารที่จะต้องเตรียม เพื่อให้การส่งสินค้าข้ามแดนไปยังจีนคล่องตัวและสะดวกขึ้น ไม่เป็นอุปสรรค ทำให้การจราจรต้องติดขัดโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะดำเนินการในสัปดาห์นี้

          ทั้งนี้ ยังได้ประสานงานกับทางจีน เพื่อเพิ่มด่านให้บริการในการนำเข้าผลไม้สดจากไทย คือ ด่านตงซิง โดยด่านตงซิงเริ่มเปิดให้บริการแล้วเมื่อวันที่ 29 เม.ย.2564 ทำให้ไทยสามารถส่งผลไม้สดผ่านด่านนี้ได้ และกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งให้สมาคมผู้ส่งออกผลไม้จันทบุรีรับทราบแล้ว และกระทรวงพาณิชย์ยังได้แจ้งให้ด่านจีนทราบว่า ใบรับรองการฉีดสารป้องกันโควิด-19 ทั้งบรรจุภัณฑ์และรถขนส่งในการส่งออก เป็นเอกสารจากทางการไทย ขอให้มั่นใจได้  

          นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการแก้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการส่งออกขาดแคลน ล่าสุดมีข่าวดี คือ วันที่ 5 พ.ค.2564 ถือเป็นวันแรกที่เรือขนาด 399 เมตร มาเทียบท่าที่แหลมฉบัง โดยจะมาเทียบท่าที่ท่า D1 เป็นเรือของบริษัทเมอร์ก โดยเรือลำนี้มาจากสหภาพยุโรป สิงคโปร์ แล้วก็มาไทย จากนั้นจะไปปลายทางที่จีนและสหรัฐฯ โดยขนตู้เปล่ามาประมาณ 6,000 ทีอียู สามารถช่วยส่งสินค้าออกให้กับไทยในภาพรวมได้ประมาณ 120,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 12,000 ล้านบาท โดยจะขนของของไทยออกไปในวันที่ 8 พ.ค.2564 สินค้าที่ส่งออกประกอบด้วย ข้าว อาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ถือว่าเป็นภาพความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน  

          อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีเรือมาเทียบท่าอีก 3 ลำ วันที่ 21 พ.ค.2564 เป็นเรือ MSC ขนาด 399 เมตร วันที่ 2 มิ.ย.2564 เรือ MSC 395 เมตร และวันที่ 19 มิ.ย.2564 เรือ MSC ขนาด 398 เมตร จะช่วยคลี่คลายเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนได้

ก่อนหน้านี้ ภาคเอกชนต้องการให้เรือขนาด 400 เมตร เข้ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังได้ เพื่อสามารถนำตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาส่งออกสินค้าคราวละมากๆ โดยเรือขนาด 400 เมตร สามารถรับสินค้าส่งออกของไทยไปยังปลายทางได้เลยไม่ต้องไปถ่ายลงเรือเล็กที่สิงคโปร์อีกทอดหนึ่ง โดยปกติถ้าใช้เรือเล็กขนของที่แหลมฉบัง จะต้องไปถ่ายสินค้าที่สิงคโปร์ ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นหลายทอด ถ้าใช้เรือขนาดใหญ่ จะสามารถออกจากแหลมฉบังตรงไปยังปลายทางได้ทันที