ส.ส.ก้าวไกล ครวญไม่เคยเห็นยุคไหนตกต่ำมากเท่ายุคนี้ ถึงขนาดรัฐบาลไล่ฟ้องประชาชน


เพิ่มเพื่อน    

แฟ้มภาพ

15 พ.ค.64 -นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และอดีตประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดอภิปรายออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมแลกเปลี่ยนทัศนะกับประชาชน ต่อปรากฏการณ์ที่ขณะนี้รัฐบาลกำลังไล่ฟ้องประชาชนผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะการนำกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ และการเตรียมฟ้องร้องเพื่อเอาผิดการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ปกติเราจะเห็นแค่นักการเมืองฟ้องนักการเมืองด้วยกัน แต่ไม่เคยอยู่ในยุคที่ตกต่ำขนาดนี้มาก่อนคือการที่รัฐบาลไล่ฟ้องประชาชน ซึ่งไม่แตกต่างจากนาซีที่มีหน่วยข่าวกรองหรือเกสตาโปคอยสอดส่องประชาชน หรือคล้ายกับตำรวจทางความคิดในนิยาย 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล นอกจากนี้ดูเหมือนว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยจะไม่เคยทำอะไรให้ประเทศนี้เจริญขึ้นในด้านดิจิตอลเลย คอยแต่ทำหน้าที่สอดส่องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นยุคของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีคนก่อน หรือ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีคนปัจจุบัน

"เราเคยเห็นกระทรวงดิจิตอลทำอะไรเพื่อให้มีสตาร์ทอัพหรือไม่ เราเคยเห็นทำอะไรเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี่หรือไม่ เราเห็นการทำอะไรให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐได้ดีขึ้นหรือไม่ สิ่งที่กระทรวงดิจิตอลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ทำคือ ตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแล้วเอา พ.ร.บ.คอมฯ เป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องปิดปากและทำลายการเคลื่อนไหวของประชาชนในการต่อต้านเผด็จการ ผลงานยุคพุทธิพงษ์ คือพยายามฟ้องเฟ๊ซบุ๊ก ปิดพอร์นฮับ ส่วนยุคชัยวุฒิในปัจจุบัน ล่าสุดไปฟ้องทั้งสำนักข่าวและนักข่าวไทยพีบีเอส”

นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า พ.ร.บ.คอมฯ เจตนารมณ์ที่แท้จริงคือมีไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางไซเบอร์ไม่ให้มีการล้วงข้อมูล เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ ไม่ใช่มีไว้ฟ้องครอบจักรวาล ตอนนี้แค่ด่าหรือวิจารณ์รัฐบาลก็นำมาใช้ เพราะโทษหนักกว่าหมิ่นประมาททั่วไป หรือแม้แต่คดี 112 เช่น ในคดีคุณอัญชันซึ่งเป็นการแชร์ข้อความต่อในคอมพิวเตอร์จึงมีการนำจำนวนปีมานับตามครั้งที่แชร์ไปตามกรรม โทษในการจำคุกก็สูงถึงมากกว่า 80 ปี หรือคุณไผ่ ดาวดิน ก็โดนในกรณีการแชร์ข่าวพระราชประวัติ ร.10 ของ BBC

ส่วนในกรณีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ค. มีการรายงานข่าวของไทยพีบีเอสว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีไปรับวัคซีนชิโนแวคแล้วเกิดอาการแพ้ ชาทั้งตัว เลือดออกในสมอง และมีภาพที่น่ากลัวทำให้ประชาชนเกิดคำถามต่อวัคซีน จนมีการสืบสาวและติดตามโดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ซึ่งเรื่องนี้ สำนักข่าวไทยพีบีเอสไม่มีความรอบคอบจริง เพราะในการเผยแพร่อาการข้างเคียงของวัคซีนด้วยข้อมูลที่ผิดพลาด แต่มีการขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงรวมถึงจัดการไปโดยต้นสังกัดแล้ว

ปัญหาคือรัฐบาลนำโดยรัฐมนตรีชัยวุฒิไปฟ้องต่อ ตามมาด้วยบรรดานักร้องเต็มไปหมด และนักวิชาการขวาจัด ซึ่งไทยพีบีเอสเป็นสื่ออิสระที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลให้เป็นสื่อสาธารณะ หลายครั้งก็มีความกล้าหาญในการนำเสนอประเด็น เปิดพื้นที่ทางความคิดและประเด็นทางสาธารณะให้ประชาชนได้ถกเถียงกัน เช่น รายการตอบโจทย์ ที่ได้หยิบยกประเด็นคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในความคิดคนไทยมาถกเถียงกันเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างนั้นไทยพีบีเอสเองก็โดนฝ่ายค้านวิจารณ์มากเช่นกันว่ายังกล้าหาญไม่พอในการนำเสนอประเด็นสาธารณะ ดังนั้น ข้อสงสัยถึงการฟ้องไทยพีบีเอสคือสมเหตุสมผลหรือไม่ หรือเป็นเจตนาที่ต้องการให้หุบปากและอยู่ใต้อาณัติของรัฐบาล

“ตอนนี้เราอยู่กับสื่อแบบไหนในยุคโควิดเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะตั้งแต่ปีที่แล้วเมื่อประชาชนแชร์ข่าวแล้วผิด ศูนย์ต้านข่าวปลอมจะรีบออกมาแก้และประชาชนคนนั้นก็จะมีความผิดเพราะเอาข้อมูลที่ผิดเข้าระบบคอมพิวเตอร์ แต่ต้องเข้าใจว่าเมื่อโควิดมา ความตื่นตกใจก็เกิดขึ้น เช่น อาการแบบนี้ใช่โควิดหรือเปล่า สถานที่นี้มีคนติดจริงหรือไม่ สิ่งนี้ไม่ใช้ข่าวปลอมหรือ Fake News  แต่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Misinformation คือความเข้าผิด เป็นการให้ข่าวสารออกไปโดยไม่มีเจตนาสร้างความปั่นป่วนให้สังคม แต่ทั้งสองกรณีถูกนำมารวมกัน เพราะฉะนั้นหลายครั้งที่ประชาชนสื่อสารเกี่ยวกับโควิดหรือวัคซีนจึงกลายเป็นการปิดปากด้วยกฎหมาย ซึ่งประเด็นสำคัญของวัคซีนก็คือ ใครกันแน่ที่ทำให้ประชาชนไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและปล่อยข่าวที่เป็น Misinformation สาเหตุมาจากการที่รัฐบาลไม่สามารถให้  Information ที่ถูกต้องได้ เช่น บอกว่าโควิดเป็นโรคกระจอก จะบอกว่านี่คือ Fake News แบบนี้ทำไมไม่ไปจับ หรือความจริงต้องมองว่าเป็น Misinformation เพราะรัฐมนตรีไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยพูดไปพล่อยๆ แต่คิดว่าเขาไม่มีเจตนา คำถามก็คือทำไมจึงปฏิบัติแตกต่างกันในกรณีลักษณะเดียวกัน ”

สิ่งที่น่ากังวลตามมาก็คือ สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยหายไป ขณะนี้การจัดลำดับของสื่อมวลชนเรารั้งท้ายด้อยประสิทธิภาพและไม่มีอิสระกว่าอัฟกานิสถาน จึงน่าสงสัยว่าสื่อมวลชนในประเทศไทยกำลังถูกคุกคามโดยรัฐหรือไม่ แม้จะไม่ใช่การเอาปืนมาจ่อหลังเหมือนหลังการรัฐประหารใหม่ๆ แต่ก็มีกรณีเช่นการคุมตัวสื่อมวลชนสำนักข่าวประชาไทไปโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา เรื่องแบบนี้จึงกำลังนำไปสู่การเซนเซอร์ตัวเองของสื่อมวลชน ทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถนำเสนอประเด็นอย่างตรงไปตรงมาได้โดยเฉพาะประเด็นที่ขัดแย้งกับรัฐบาล ทั้งที่ ขณะเดียวกันในยุคนี้ผู้ชมก็สามารถตรวจสอบสื่อหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของสื่อได้อย่างเข้มข้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับรัฐบาลที่กำลังควบคุมและปิดปากประชาชน กลายเป็นเรากำลังกระทรวงดิจิตอลฯที่ไม่ทำให้วงการดิจิตอลเจริญ แต่กลับทำให้สิทธิเสรีภาพประชาชนตกต่ำลงแทน

อีกกรณีหนึ่งคือกรณี ฮาร์ท สุทธิพงศ์ ที่ถูกทีมงานนายกรัฐมนตรีเตรียมนำ มาตรา 112 มาใช้ การที่คนเป็นนายกฯขู่ไปทั่วเช่นนี้ก็เพราะตัวเขาไม่เหมาะหรือกระจอกกว่าตำแหน่ง เมื่อคนกระจอกกว่าตำแหน่งจะเริ่มใช้อำนาจ ใช้ปืน ใช้กฎหมายขู่ เรื่องนี้ชัดเจนในการคุกคามสิทธิเสรีภาพและแสดงออกถึงความไม่มั่นคงของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ขณะนี้ทุกคนรู้ดีว่าวัคซีนทุกชนิดมีผลข้างเคียง แต่กลับไม่เปิดเผยว่าฉีดไปแล้วทั้งหมดกี่เคส มีผลข้างเคียงกี่เคส แต่ละเคสเป็นอย่างไร แต่ใช้วิธีไปฟ้องคนที่แชร์ข้อมูล ซึ่งไม่ได้ทำให้คนมั่นใจขึ้น กลับจะทำให้ถูกมองว่ากำลังปิดบังข้อมูลอะไรอยู่กันแน่ การที่คนไปลงทะเบียนฉีดวัคซีนน้อย ไม่ใช่คนไม่มั่นใจในวัคซีนแต่คือสิ่งที่สะท้อนชัดเจนว่าเขาไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ถ้าเรียกร้องได้สักเรื่อง สิ่งที่กระทรวงดิจิตอลต้องทำคือ ฐานข้อมูลวัคซีน ตอนนี้มีทั่วประเทศหรือยัง เช่น กรณีของผมไปฉีดวัคซีนเข็มแรกที่กรุงเทพตามหนังสือเชิญของสภา ตอนนี้ผมกลับมาพิษณุโลกแล้ว มีการกักตัวครบถ้วนแล้ว แต่ถ้าจะฉีดเข็มที่ 2 ที่พิษณุโลก ไม่สามารถทำได้ แม้เวลานี้วัคซีนชิโนแวคจะมาถึงพิษณุโลก นั่นก็เพราะฐานข้อมูลยังไม่เชื่อมกัน กระทรวงดิจิตอลทำอะไรอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หรือการที่ประเทศไทยไม่สามารถทำ Home Isolation ได้ เพราะนายกรัฐมนตรีไม่เชื่อว่าคนไทยจะทำได้ จึงเอาคนติดเชื้อที่แม้จะไม่มีอาการหรือมีไม่มากไปอยู่ในโรงพยาบาลรวมกันไปหมด ประเทศอื่นเขาให้อยู่ที่บ้านหรือห้อง แล้วมีระบบแทรคกิ้งติดตามคอยรายงานว่าอยู่ตรงนั้นจริงและคอยแจ้งอาการซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รัฐไปดูแล

“นี่คือบทบาทของกระทรวงดิจิตอลไม่ใช่วันๆไม่ได้ทำประโยชน์เรื่องเหล่านี้เลย แต่เอาเวลาไปคอยปิดปากประชาชน ตอนนี้ประชาชนกำลังต้องการบทบาทกระทรวงดิจิตอลมากที่สุด แม้กระทั่งเรื่องการลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีนให้ง่ายและเร็วที่สุด แต่หมอกลับต้องออกมาพูดว่า แอปหมอพร้อมไม่พร้อมเพราะหมอไม่เก่งไอที เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผมไม่โทษหมอ แต่กระทรวงดิจิตอลอยู่ไหน ปล่อยให้หมอไปทำกันเองหรืออย่างไร หรือแม้กระทั่งขณะนี้รัฐสภาไทยยังไม่สามารถประชุมออนไลน์ได้ ทั้งที่มี ส.ส.หรือรัฐมนตรีไปเกี่ยวข้องกับการเกิดคลัสเตอร์ใหญ่หลายกรณี แล้วกำลังจะต้องมาประชุมร่วมกัน ถามว่าเรื่องแบบนี้กระทรวงดิจิตอลทำอะไรบ้าง ทำไมไม่สามารถทำให้ประชุมออนไลน์ได้ หรือทำให้ ส.ส.ที่ฉีดวัคซีนแล้วประชุมในห้อง คนที่ยังไม่ฉีดอยู่ข้างนอก โดยต้องมีระบบที่เช็กองค์ประชุมได้จากฐานข้อมูล ตอนนี้ พ.ร.ก.กู้เงิน และ พ.ร.บ.งบประมาณ ที่มีความสำคัญมากกำลังรออยู่ ต้องทำให้เกิดการประชุมให้ได้  การพัฒนาระบบดิจิตอลเหล่านี้ทั้งหมดถ้าไม่มีปัญญาทำออกไปเลย เรื่องนี้ ส.ส.พรรคผมทำได้ ขอเดือนเดียวเปลี่ยนแปลงวงการดิจิตอลเมืองไทยได้เลย ตอนนี้ระบบดิจิตอลล้าของเราหลังมาก” นายปดิพัทธ์ ระบุ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"