ไม่รู้จะ “ฉีก” ไปทางไหน???


เพิ่มเพื่อน    

 ช่วงระหว่างนี้...ถ้าหากทั่นปรมาจารย์ อาจารย์หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี้คงได้อ่านเรื่องราวประเภท น้ำพริก ระดับลากยาวว์ว์ว์ ยาวเฟื้อยเลื้อยลากดิน ไล่ตั้งแต่น้ำพริกกะปิ น้ำพริกแมงดา น้ำพริกมะขาม น้ำพริกอ่อง ฯลฯ และน้ำพริกอะไรต่อมิอะไร ชนิดกลายเป็นมหากาพย์ หรือเป็นมินิซีรีส์เอาเลยถึงขั้นนั้น...

             ----------------------------------------------

            คือมันเป็นช่วงจังหวะที่ไม่น่าจะออกมาแสดงความคิด ความเห็น อะไรมาก...โดยเฉพาะในเรื่องที่ออกจะยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า อย่างประเภทเรื่องการมง การเมือง ทั้งหลาย ที่หนีไม่พ้นต้องมีทั้ง ฝ่ายโปร และ ฝ่ายคอนฯ หรือฝ่ายที่ เห็นควรด้วย และ ไม่เห็นควรด้วย ในแทบจะทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี การแสดง ความโน้มเอียง ไปในด้านหนึ่ง ด้านใด แม้ไม่ถึงกับเอียงกระเท่เร่ แค่ลู่หลัง ลู่ไหล่ ไปตามสภาพ ก็อาจต้องเจอกับ สากกะเบือบิน หรือ จำปีหัวระเบิด ถ้าว่ากันตามสำบัด สำนวนของ อาจารย์หม่อม สาดเข้าใส่ในทุกทิศ ทุกทาง หรือระดับ เซ็นเซอร์ราวด์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

             -------------------------------------------

            ดังนั้น...การที่ อาจารย์หม่อม ท่าน ฉีก ไปเขียนเรื่อง น้ำพริก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล กลใด ก็แล้วแต่ เลยทำให้ท่านคงไม่ต้องเสียเวลา มานั่งพูด นั่งเถียง หรือนั่งตอบโต้กับใครต่อใครให้ต้องเสีย เซลฟ์ โดยใช่เหตุ อีกอย่างหนึ่ง...ที่อาจถือเป็น โชคดี ของ อาจารย์หม่อม ระดับ โชคดี...ที่ตายก่อน เอาเลยก็ว่าได้ คือในยุคท่าน สมัยท่านนั้น มันยังมีโลกอยู่โลกเดียว คือ โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้ปรากฏ โลกเสมือนจริง ขึ้นมาทาบรัศมี ชนิดไปๆ-มาๆ กลับมีบทบาท อิทธิพล เหนือไปกว่าโลกแห่งความจริง หรือสามารถชักนำ ฉุดกระชากลากถู ให้โลกแห่งความจริงมักต้องเป็นไปตามนั้น อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...

            ----------------------------------------------

            เพราะถ้าหากไปโต้ ไปแย้ง ไปนำเสนอ ความจริง หรือ ความเป็นเหตุ-เป็นผล ใดๆ ก็แล้วแต่ โอกาสที่จะต้องเจอกับสากกะเบือบิน จำปีหัวระเบิด รองเท้าแตะ การถ่มถุย กล่าวหาและด่าว่า ชนิดแทบไม่เหลือความเป็นผู้-เป็นคน ด้วยกิริยาอาการ หรือด้วยภาษาที่แม้แต่ แม่ค้าปากคลองตลาด ยุคก่อนๆ ยังมิอาจรับได้เอาเลยก็ไม่แน่ คือมีทั้งเหี้ย ห่า และสารพัดสัตว์ แม่มม์ม์ม์มึง พ่อมม์ม์ม์มึง ไอ้เหี้ย ไอ้ห่า ไอ้ฉิบหาย ฯลฯ แถมยังเป็นอะไรที่ เถียงไม่ทัน ซะอีกต่างหาก เพราะขีดความสามารถในการสาดใส่ การถล่ม การตามไปจองล้าง จองผลาญ ตามไปยั่วยวนกวนส้นตีน ฯลฯ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างสูงเอามากๆ แวบเดียว วูบเดียว มากันเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรืออาจถึงล้านๆ เรียกว่า...น่าสยดสยองพองขน หรือน่าขนลุกขนพอง มิใช่น้อย...

            ----------------------------------------------------

ไม่ว่าจะเป็นดารง ดารา ศิลปง ศิลปิน ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ผู้เล็ก-ผู้น้อย ฯลฯ...ล้วนแต่เคยโดนๆ มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งประเภทที่ชอบไปแวะ ชอบไปเตร็ดเตร่ อยู่ภายในโลกเสมือนจริง ประเภท เปิดเฟซบุ๊ก เอาไว้รองรับสากกะเบือกันโดยเฉพาะ จะไปแหลมไป-แหลมมา เอียงข้างโน้น เอียงข้างนี้ มิได้โดยเด็ดขาด เพราะโอกาส ขันติ ใดๆ ก็ตาม จะกลายสภาพเป็น ขันแตก ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ เมื่อต้องเจอกับการ ด่ารัวๆ ด่าชนิดไม่คิดจะฟังเหตุ ฟังผล หรือไม่คิดจะฟังอะไรเลย ขอให้ได้แค่มันซ์ซ์ซ์ปากๆ ไปวันๆ หรือแค่เป็นชั่วโมง เป็นนาที ก็เอาแล้ว!!! ทั้งไอ้เหี้ย ไอ้ห่า และสารพัดสัตว์ ฯลฯ คลานออกมายั้วๆ เยี้ยๆ เต็มไปหมด....

             -----------------------------------------------------

            โดยถ้าหากเป็นเรื่อง-เป็นราวขึ้นมา...ก็ค่อยๆ ตามไป ขอโทษ-ขอขมา หอบช่อดอกไม้ไปทำตาปะหลับ ปะเหลือก ไม่กี่ที ไม่ว่าใครก็ใคร...สุดท้ายก็ต้อง ใจอ่อน จนได้ การดุ ด่า ว่ากล่าว กันโดยอิสระและเสรีเช่นนี้ เลยทำให้การอยู่ในสังคมยุคใหม่ สมัยใหม่ จึงเป็นอะไรที่ อยู่ยาก กว่ายุค อาจารย์หม่อม ประมาณห้าเท่า หรือสิบเท่า เป็นอย่างน้อย ถ้าหากไม่คิดจะ ฉีก ไม่คิดจะ แหวกกรอบ ไปพูด ไปเขียน เรื่องราวอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการบ้าน การเมือง ย่อมตกอยู่ใน อันตราย มากบ้าง-น้อยบ้างไปตามสภาพ...

             -----------------------------------------------------

            แต่ก็นั่นแหละ...ครั้นจะหันมา ฉีก หันมา แหวกกรอบ ไปเขียนเรื่องราวอื่นๆ ด้วยขีดความสามารถที่ยังละอ่อน ยังไม่ได้รอบรู้ รอบด้าน ถึงระดับใกล้ สัพพัญญู อย่างท่านอาจารย์ ก็เลยฉีกไม่ค่อยจะออก แหวกไม่ค่อยจะออก แม้พยายามจะเบี่ยง จะเฉ ไปว่ากันเรื่องราวนอกบ้าน เรื่องโลก เรื่องต่างประเทศ แต่ก็ด้วยเหตุที่ต้องเขียนถึงวันละ 2 ชิ้นด้วยกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โอกาสที่จะทำอะไรซ้ำๆ กันในแต่ละวัน ก็แทบเป็นไปไม่ได้อีกนั่นแหละ ยิ่งการบ้าน การเมือง ในช่วงนี้ กำลังเข้าด้าย-เข้าไคล เข้าหน้าข้าว-หน้าเหล้า ยิ่งเข้าไปทุกที ก็ยิ่งทำให้พูดลำบาก เขียนลำบาก ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

             --------------------------------------------------------

            เฉพาะแค่ตัว นายกฯ บิ๊กตู่ รายเดียว...ก็แทบพูดไม่ออก ได้แต่กลอกหน้า กลอกตา ไปตามสภาพ ส่วนจะหันไปหารายอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปตามสำบัด สำนวน ของคุณน้าอาเฮีย สนธิ ลิ้มฯ ท่านนั่นแหละ คือ ไม่มี...สี จิ้นผิง อาศัยอยู่ในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว มีแต่ต้อง ทนๆ กันไป และหมั่นสวดมนต์ ภาวนา ให้กุศลผลบุญแห่งความอดทน หรือแห่ง ขันติธรรม ทั้งหลาย สามารถดลบันดาลให้เกิด ความร่วมมือ-ร่วมใจ ของแต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่าย ขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่ง แม้จะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เย็น แสนเข็ญ พอๆ กับการตามหา หนวดเต่า-เขากระต่าย อะไรประมาณนั้น...

             ------------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Shakespeare’s Othello (อีกครั้ง)... What can’t be cured must be endured. - สิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้...ต้องพยายามอดทนต่อสิ่งนั้น....

            -----------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"