'ไอติม' สรุป 7 ปีรัฐประหาร ประยุทธ์และพรรคพวกทำเองหมดทุกอย่างที่เคยกล่าวหาคนอื่น


เพิ่มเพื่อน    

22 พ.ค.64 - กลุ่ม Re-Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญใหม่ จัดรายการ 7 ปี 7 คน 7 เหตุผล 7 นาที ผ่านไลฟ์สด ในวันครบรอบ 7 ปี วันที่ 22 พ.ค.2557 คณะรัฐประหารเข้ายึดอำนาจ โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ แกนนำกลุ่ม Re-Solution กล่าวในหัวข้อ “7 ปี รัฐประหาร: จากเผด็จการอำนาจปืน สู่เผด็จการอำนาจรัฐ” ว่า ความเลวร้ายของระบอบประยุทธ์คือการสืบทอดอำนาจอย่างครบวงจร จนทำให้การรัฐประหารไม่จำเป็นอีกต่อไป เป็นการเปลี่ยนเผด็จการอำนาจอื่นมาเป็นเผด็จการอำนาจรัฐ ที่วนหลูบทุกความเลวร้ายของการเมืองไทยในอดีต ที่ควบคุมทุกโครงสร้างและกลไกรัฐอย่างเบ็ดเสร็จในปัจจุบัน และกำลังจะเด็ดความหวังต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต

ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์อชา นายรัฐมนตรี กำลังจะนำพาประชาธิปไตยไทยย้อนหลังกลับไป สำหรับใครที่ยังปักใจเชื่อว่ามาตรการต่างๆที่พล.อประยุทธ์ทำเพื่อกำจัดการโกง อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พล.อ.ประยุทธ์เคยกล่าวหาว่า คนอื่นกระทำต่อบ้านเมือง เป็นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพวกกำลังทำมันเองทั้งหมด

การที่ใช้ข้ออ้างเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นมายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งที่สุดอย่างหนึ่ง เมื่อเราเห็นการทุจริตที่เพิ่มขึ้นทุกวันภายใต้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งทุจริตเชิงนโยบายที่เอื้อกลุ่มทุน การทุจริตเชิงอำนาจที่แต่งตั้งเพราะพวกตัวเองมารับตำแหน่ง หรือระบบอุปถัมภ์ การปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือผลการดำเนินคดีสำคัญ หรือความหละหลวมของการบังคับใช้กฎหมายที่นำมาสู่โควิดทุกระลอก แม้แต่คนที่พล.อ.ประยุทธ์เคยตีตราว่าเป็นคนโกงคบหาคนทุจริต ตอนนี้ก็อ้าแขนเปิดรับมาร่วมขบวน ไม่ว่าจะกลไกท้องถิ่น ในพรรค ในสภาหรือแม้กระทั่งมานั่งเคียงข้างในคณะรัฐมนตรี

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันอย่าหลงคิดว่ามรดกของคณะรัฐประหารหายไป รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เป็นเหมือนพินัยกรรมที่คสช. เขียนขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจและมอบประเทศให้กับพล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้องผ่านการขยายอำนาจของสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่คสช. และพล.อ.ประยุทธ์สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภาที่มีอำนาจล้นฟ้า หรือไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ ที่ถูกขยายขอบเขตอำนาจอย่างไร้การตรวจสอบ

ระบอบประยุทธ์ยังฝังอีกหลายอย่าง ทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศที่ล็อคนโยบายไว้ ทั้งที่ประเทศส่วนใหญ่ให้ความยืดหยุ่นกับการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และนอกจากประชาชนจะต้องต่อสู้ในสมรภูมิของรัฐธรรมนูญแล้ว เพื่อรื้อถอนระบบประยุทธ์ในเชิงกฎหมาย แต่ประชาชนทุกคนต้องมาร่วมกันต่อสู้ในสมรภูมิแห่งความคิดด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประยุทธ์เด็ดความหวังในการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต

ทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหารก็เปรียบเหมือนการเผาบ้าน ประชาธิปไตยเหลือเฉพาะซากปรักหักพัง แต่สิ่งที่ระบบประยุทธ์กำลังทำคือ ทำให้บ้านหลังใหม่ที่กำลังก่อร่างสร้างฐานมีเสาเข็มที่อ่อนแอ ทุกกลไกและกระบวนการพื้นฐานของประชาธิปไตยถูกลดทอนลง ไม่มีความชอบธรรม การเลือกตั้งก็ดูได้เมื่อคะแนนถูกพลิกหมดจากหน้ามือเป็นหลังมือ ประชามติในปี 59 ที่ถูกเป็นข้ออ้างในการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ไม่ได้เปิดให้สองฝ่ายรณรงค์ได้อย่างเสรีอย่างเป็นธรรม พอประชาชนเรียกร้อง ระบอบประยุทธ์ก็ส่งริ่วล้อเข้ามาขัดขวางในสภา

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด เมื่อเรามีรัฐมนตรีที่ถูกตัดสินว่าผิดคดีค้ายาเสพติด แต่กลับไม่ถูกปรับออกหรือลาออกเอง กลับสามารถโกหกต่อหน้าประชาชนได้กลางรัฐสภา ความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อสถาบันการเมืองก็เริ่มเสื่อมสลาย ระบบรัฐสภาที่ควรจะเป็นความหวังในการนำพาการเปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้งก็ถูกแปรสภาพเป็นสภาตรายาง ที่รองรับทุกการกระทำของระบอบประยุทธ์ และกำจัดฝ่ายตรงข้ามผ่านการซื้อตัวผู้เล่นและยุบพรรค กฎหมายที่ควรจะถูกบังคับใช้มาตรฐานเดียวกันก็ถูกแปรสภาพมาเป็นกฎหมู่ บังคับใช้ด้วยสองมาตรฐาน มาตรฐานหนึ่งให้พรรคพวกรอดจากคุกคดีและอีกมาตรฐานหนึ่งเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม กระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็นแนวหน้าในการปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชนก็กลับปฏิเสธ แม้กระทั่งสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญและปฏิญญาสากล

“นอกจากนี้ทหารและตำรวจที่ควรจะเป็นที่พึ่งของประชาชนในการรักษาความปลอดภัยก็ถูกบีบให้ยืนอยู่ตรงข้ามประชาชน และถูกบีบให้สลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงที่เกินขอบเขตกับหลักสากล 7 ปีหลังจากยึดอำนาจมาจากประชาชน ความเลวร้ายของรัฐประหารนั้นยังไม่ได้หายไป แต่กับฟังมรดกมาถึงทุกวันนี้ การมีรัฐธรรมนูญฉบับ 60 และการเลือกตั้งในปี 62 ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประชาธิปไตย แต่ยังคงเป็นเผด็จการอำพรางที่เปลี่ยนโฉมจากเผด็จการอำนาจปืนมาเป็นเผด็จการอำนาจรัฐ ราคาที่ประชาชนทุกคนต้องจ่ายทุกวินาที ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาประชาธิปไตย หรือคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ควรจะดีกว่านี้ ทำให้การทำรัฐประหารครั้งนั้นและในทุกๆครั้ง เป็นสิ่งที่เราให้อภัยไม่ได้

ทางออกเดียวของความวิปริตนี้ คือมาร่วมกันรื้อรัฐธรรมนูญฉบับกฎหมายที่กำลังสืบทอดอำนาจระบอบประยุทธ์ และทดแทนด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย ควบคู่กับร่วมกันสร้างรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม ที่ทำให้ประชาชนคนไทยเชื่อมั่นว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ผ่านกลไกประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย แต่การทำรัฐประหารเมื่อ 7 ปีที่แล้วต้องเป็นครั้งสุดท้าย”นายพริษฐ์ กล่าว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"