‘ไวรัส’ทำโคม่า ศก.ไทยสะดุด! ลุยอัดฉีดลงทุน


เพิ่มเพื่อน    

  “สภาพัฒน์” รับโควิด-19 ทำไทยโคม่า ปัญหายังไม่จบง่ายๆ  กิจกรรมทางเศรษฐกิจสะดุด ภาคธุรกิจ-ประชาชนช้ำชอก แจงรัฐลุยกู้เพิ่ม 5 แสนล้านบาท หวังปูพรมขับเคลื่อนประเทศระยะยาว จัดสรรงบอัดฉีดลงทุนภาครัฐ กระตุ้นการบริโภคในประเทศ พร้อมแนะต้องเปลี่ยนแปลง 4 ประเด็น หลังไทยพ้นวิกฤติ

    เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ “Thailand Survivor” ในงานสัมมนา Thailand Survivor…ต้องรอด ว่า วิกฤติจากการระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อจำกัดและส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเดินได้ลำบาก จากมาตรการด้านสาธารณสุขที่มีขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจด้วย ดังนั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ จึงส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยเป็นวงกว้างกว่าวิกฤติเศรษฐกิจในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2563 อีกทั้งการระบาดระลอกใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 4/2563 ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2564 เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ 2.6% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวติดลบ 4.2%
     นายดนุชากล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เตรียมมาตรการทั้งการดูแลและเยียวยาภาคประชาชนและภาคธุรกิจ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง ผ่านการออกมาตรการด้านต่างๆ ทั้งการกระตุ้นการบริโภค การลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ซึ่งมีผู้ประกอบการบางส่วนโดยเฉพาะรายย่อยที่ได้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านั้น แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการอีกกลุ่ม นั่นคือ กลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคล ยังไม่ได้รับประโยชน์และยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือต่างๆ โดยยังต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 5 แสนล้านบาท แต่ก็มีผู้ประกอบการได้รับประโยชน์เพียงกว่า 1 แสนล้านบาทเท่านั้น
    “เดิมที่รัฐบาลมองว่าปัญหาเหล่านี้น่าจะจบได้เร็ว ไม่น่าจะอยู่นาน แต่ปรากฏว่าการระบาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าปัญหายังไม่จบง่ายๆ ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการซอฟต์โลน และแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ สินเชื่อฟื้นฟู วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งปรับเงื่อนไขให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงได้มากขึ้น และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาท ที่เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เคยกังวลว่าจะมีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาซื้อกิจการในไทยราคาถูกในช่วงวิกฤติได้ และช่วยให้ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนเข้าถึงสภาพคล่องได้มากขึ้น” นายดนุชากล่าว
    เลขาฯ ศสช.มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะยืนอยู่ได้จาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.การส่งออก ซึ่งปัจจุบันขยายตัวได้ดีมาก และยังส่งผลดีถึงอุตสาหกรรมและเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้ได้รับประโยชน์การจากฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย 2.การลงทุนภาครัฐ และ 3.การบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลยังได้เตรียมเครื่องมือเพื่อรองรับการแก้ปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไป ด้วยการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นด้านสาธารณสุข 3 หมื่นล้านบาท, ด้านการเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการ 3 แสนล้านบาท และด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก 1.7 แสนล้านบาท ในส่วนนี้จะเข้ามาเสริมในเรื่องการลงทุนของภาครัฐ เนื่องจากงบประมาณปี 2565 ต้องรอเวลา เพราะจะเริ่มใช้ในเดือน ต.ค.นี้ และงบประมาณยังมีอยู่จำกัด จึงต้องใช้งบเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจเข้ามาเสริม รวมถึงใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภคเพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศในแต่ละช่วงเวลาให้อยู่ในระดับที่ปกติด้วย
    นายดนุชากล่าวอีกว่า อีกส่วนสำคัญที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการคือ การจัดเตรียมมาตรการเพื่อรักษาระดับการจ้างงานในเอสเอ็มอี โดยเป็นการช่วยปลดเปลื้องภาระในการจ้างงานของผู้ประกอบการ เพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้น ให้สามารถรักษาระดับการจ้างงานเดิมเอาไว้ได้ ไม่ให้เกิดวิกฤติซ้ำซ้อน ซึ่งจะออกมาในช่วงที่เหลือของปี 2564 โดยได้มีการประสานกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ในการทำมาตรการขึ้นมาเพื่อช่วยเอสเอ็มอีให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น
    "เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะรอดพ้นจากวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้ โดยทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ภาคธุรกิจต้องปรับตัวโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว เพราะยังไม่มีใครตอบได้ว่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติได้เมื่อไหร่ แต่มีการประเมินว่าในอีก 2 ปีจากนี้การเดินทางระหว่างประเทศจึงจะกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่การเดินทางในประเทศระหว่างนั้นจะกลับมาเติบโตได้มากขึ้น และเดินหน้าไปได้จนเข้าสู่ระดับปกติได้เร็วกว่า โดยสิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะรอดได้คือวัคซีน ที่จะช่วยตัดวงจรการระบาดออกไป ทำให้สามารถทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจและออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้"
    เลขาธิการ สศช.กล่าวอีกว่า เมื่อประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติแล้ว จะต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ เพราะไม่ใช่แค่วิกฤติจากการระบาดของโควิด-19 เท่านั้น แต่ไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่ยังไม่สามารถไว้ใจได้ โดยประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการหลังจากพ้นวิกฤติโควิด-19 ประกอบด้วย 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.การสร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Hight Value-added Economy) 2.การสร้างสังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค (Hight Oopportunity Society) 3.การสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืน (Hight Sustainability) และ 4.การสร้างปัจจัยขับเคลื่อนและพัฒนา (High Leverage Enablers) ทั้งการสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และการสร้างภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องทำ เพราะจะทำให้ไทยอยู่รอดจากนี้แน่นอน.

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"