สถานการณ์กับวีรบุรุษ


เพิ่มเพื่อน    

 

การสร้างพลังแห่งความสามัคคี...หรือการนำเอาความสมานฉันท์ให้กลับคืนมา บางครั้ง บางครา มันอาจต้องพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า สถานการณ์ อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะอะไรที่ไปเรื่อยๆ เจื่อยๆ ไปตามระบบ ตามระบอบ ส่วนใหญ่แล้ว...ก็คงประมาณงั้นๆ!!! คืออาจเพราะไม่มี เงื่อนไข-เหตุปัจจัย บางประการ ที่สามารถนำมาใช้เป็นแรงผลัก แรงกระตุ้น ได้อย่างเต็มสูบ เต็มด้าม...

                        --------------------------------------------

            คือไม่ว่าจะเก่งแสนเก่ง ฉลาดแสนฉลาด หรือระดับเขี้ยวยาวเฟื้อยเลื้อยลากดิน เกล็ดแตกลายงา แถมมีปีกงอก ด้วยอีกต่างหาก แต่ภายใต้ระบบ หรือระบอบใดๆ ก็ตาม ถ้าหากมันดันเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไปซะก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่ว่าจะออกเรี่ยว ออกแรง ไม่ว่าจะทุ่มเทเพียรพยายามกันไปถึงขั้นไหน ก็อาจพอได้แค่ปะทะปะทัง ไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง มันล้มคว่ำคะมำหงายไปก่อนกำหนดการ แต่จะถึงขั้นนำเอาพลังแห่งความสามัคคี พลังแห่งความสมานฉันท์ มาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนความเป็นชาติ หรือความเป็นสังคมนั้นๆ ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง ดูจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็นชัดๆ จะจะมากมายซักเท่าไหร่...

                        -------------------------------------------

            แต่ครั้นเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง...ที่โดยสถานการณ์ มันดลบันดาลให้อดีตนายทหารปืนใหญ่ชาวฝรั่งเศส ยศแค่ซักประมาณพันโทเท่านั้นเอง ตัดสินใจลากปืนใหญ่มายิงใส่ฝ่ายต่อต้านในรัฐสภาชนิดราบเรียบเป็นหน้ากลอง จากนั้น...อะไรที่เคยเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก กลับกลายเป็น เงื่อนไข และ เหตุปัจจัย ที่ทำให้นายทหารรายนี้ ผงาดขึ้นเป็นจอมพลและกระทั่งเป็นกษัตริย์ในท้ายที่สุด โดยมีพลังแห่งความสามัคคี ความสมานฉันท์ ที่หวนคืนกลับมาสู่สังคมฝรั่งเศส ในแบบไหน อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ชัดเจน เป็นตัวส่งเสริมและเป็นตัวขับเคลื่อน ให้ฝรั่งเศสสามารถผงาดกลับมาเป็นมหาอำนาจสูงสุดในยุโรปจนได้...

                        ------------------------------------------

            คือดี-ไม่ดี...เลว-ไม่เลวนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่น่าหยิบมาเป็นข้อสังเกต คือความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า สถานการณ์ นั่นแหละทั่น!!! ที่ถ้าหากมันเข้าทาง เข้าแก๊ป เข้ามือ เข้าตีน ของผู้ที่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ อะไรที่เคยเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เละเป็นเต้าหู้ตกโต๊ะ แบบชนิดแทบมองไม่เห็นทางที่จะสามัคคี ที่จะสมานฉันท์ กันได้เลย กลับพลิกกลับแบบชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน หรือหลังตีนเป็นหน้ามือ อะไรทำนองนั้น การครองยุโรปทั้งยุโรป แผ่อำนาจเข้าไปถึงแถวๆ แอฟริกาโน่นเลย ก็ด้วยเหตุเพราะทุกสิ่งทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความร่วมมือ-ร่วมใจ อันรวมศูนย์อยู่ที่จอมจักรพรรดิ นโปเลียน โบนาปาร์ต นั่นเอง...

                        ---------------------------------------------

            หรือแม้แต่นายพล เดอ โกล ของฝรั่งเศส...ที่คุณน้า ไซรรงค์ สุวรรณคีรี ท่านเพิ่งหยิบมาเอ่ยถึง พูดถึง บทบาทและบารมี ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็น่าจะหนีไม่พ้นไปจาก สถานการณ์ บางอย่างอีกนั่นแหละ ที่ไหลไปเข้าทางเท้า เข้าทางตีน ของอดีตนายทหารรายนี้ จนสามารถกอบอะไรที่เละๆ กลับมารวมให้เป็นก้อน เป็นกำ เป็น รัฐบาลแห่งชาติ ขึ้นมาจนได้ ส่วนอีกหลายๆ ประเทศ ไม่ว่ายุโรป อเมริกา เอเชีย แอฟริกา ไปจนถึงลาตินอเมริกาโน่นเลย สิ่งที่เรียกว่า สถานการณ์ แต่ละช่วง แต่ละระยะ ก็เคยเป็นตัวก่อให้เกิดผู้ซึ่งสามารถผงาดขึ้นมาเป็น ศูนย์รวมแห่งความสามัคคี ภายในชาตินั้นๆ สังคมนั้นๆ ได้มิใช่น้อย..

                        ----------------------------------------------

            ส่วนบ้านเรานั้น...ถ้าจะมองหากันจริงๆ น่าจะหนีไม่พ้นไปจาก วีรกษัตริย์ อย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน นั่นแหละ ที่สามารถทำให้อะไรที่เละๆ ชนิดไม่น่าจะหวนกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้เลย อะไรที่แตกฉาน ซ่านเซ็น แบ่งเป็นก๊กโน้น ก๊กนี้ ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ แต่สุดท้าย...กลับกลายเป็น ทีมชาติไทย ที่สุดแสนจะเกรียงไกรซะเหลือเกิน ไม่ใช่แค่สามารถรวมพลังแห่งความสามัคคี ความสมานฉันท์ มาใช้เป็น เครือข่ายป้องกันทางสังคม เท่านั้น ยังสามารถแผ่ขยายเครือข่ายที่ว่า ไปสู่บ้านอื่น เมืองอื่น จนอาจเรียกได้ว่า...ถือเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                        -------------------------------------------------

            ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็เนื่องมาจากช่วงจังหวะของ สถานการณ์ ณ ขณะนั้นนั่นเอง ที่ไหลไปเข้าพระบาท เข้าพระร่องแข้ง ของพระองค์ท่าน แบบชนิดมิอาจ ทรงพระง้างรอ ต่อไปได้!!! วีรบุรุษหรือวีรกษัตริย์ จึงอุบัติขึ้นมาภายใต้สถานการณ์คับขัน อันเป็นสถานการณ์ที่พระองค์มิได้วางแผน วางแปลน ไม่ได้เป็นผู้ประดิษฐ์ คิดค้น เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ได้เสกสรร ปั้นแต่ง เพื่อให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น ตามนั้น แต่มันมักเป็นไปเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตาม ธรรมชาติ หรือเป็นไปตามแบบฉบับ ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป นั่นแล...

                        --------------------------------------------------

            อย่างไรก็ตาม...สำหรับความขัดแย้ง แตกแยก การแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ในบ้านเรา นับแต่ช่วง ทศวรรษแห่งความมืดมน เป็นต้นมา และก็ยังคงเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ ขณะที่ความ ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย กำลังใกล้มาเยือนในอีกไม่นาน-ไม่ช้า โอกาสที่จะรวมพลังความรัก-สามัคคี ความสมานฉันท์ ให้หวนคืนมาเป็น เครือข่ายป้องกันทางสังคม เป็นพลังขับเคลื่อนชาติ บ้านเมือง ในอนาคตข้างหน้า จะมีความเป็นไปได้มาก-น้อยขนาดไหน ต้องอาศัยวีรบุรุษ วีรสตรี หรืออาศัย สถานการณ์ ในแบบหนึ่ง แบบใด อันนี้...คงต้องปล่อยให้ ธรรมชาติ ท่านนั่นแหละ เป็นผู้ชี้วัดตัดสินน่าจะเหมาะกว่า อย่าถึงกับต้องไปเสียเวลานั่งวางแผน วางแปลนใดๆ ให้ยุ่งยากมากความเกินไปกว่านี้ เพราะเท่าที่เป็นอยู่...ก็น่าที่จะยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่ะ พอสมควรแล้ว...

                        ----------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Children’s Moral Lesson ... Look backward, how much has been won, Look round, how much is yet to win, The watches of the night are done, The watches of the day begin. – จงเหลียวหลังดูว่าเราชนะอะไรมาแล้วบ้าง จงเหลียวมองรอบๆ ว่าเราจะชนะอะไรได้อีก การเฝ้าดูกลางคืนว่าสิ้นสุดลงไปเมื่อใด การเฝ้ามองการปรากฏตัวของกลางวันก็จะเริ่มต้นเมื่อนั้น...

                                                                                  -------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"