รัฐบาลทุ่ม1.4แสนล้าน 4โปรเจ็กต์ลดครองชีพ


เพิ่มเพื่อน    

 

ครม.ทุ่ม 1.4 แสนล้านบาท ไฟเขียว 4 โครงการลดค่าครองชีพ-ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากพิษโควิด ครอบคลุม 51 ล้านคน ดีเดย์ใช้จ่าย 1 ก.ค.นี้ หวังดันเม็ดเงินเข้าระบบ 4.73 แสนล้าน กระทุ้งจีดีพีโตเพิ่มอีก 1% "คนละครึ่งเฟส 3" เปิดลงทะเบียน 14 มิ.ย. ส่วน "ยิ่งใช้ยิ่งได้" 21 มิ.ย.

    เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 วงเงินรวม 140,380.19 ล้านบาท ประกอบด้วย 4 โครงการ ครอบคลุมประชาชนประมาณ 51 ล้านคน โดยคาดว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% แต่ไม่ได้เป็นการขยายตัวโดยบวกเพิ่มกับคาดการณ์เดิมของ สศค. ที่ 2.3% เนื่องจากคาดการณ์เดิม มีการนำตัวเลขบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ไปรวมอยู่ด้วยแล้ว
    โดยทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 สำหรับกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 13.65 ล้านคน โดยจะช่วยเหลือค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน วงเงินรวม 16,380.19 ล้านบาท ทั้งนี้ หากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประสงค์จะรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แทน จะต้องสละสิทธิ์การเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยขอให้นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาคืนที่กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด ภายในวันที่ 7 มิ.ย.2564
    2.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนหรือเดินทางไปใช้จ่ายวงเงินที่ได้รับผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ เป็นต้น (ผู้ได้รับสิทธิเราชนะกลุ่ม 4) ประมาณ 2.5 ล้านคน โดยจะช่วยเหลือค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นวงเงินรวม 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หากประสงค์รับสิทธิตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แทน จะต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิตามโครงการดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ภายในวันที่ 28 มิ.ย.2564 และถือเป็นการสละสิทธิ์โครงการนี้
    3.โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โดยประชาชนที่เข้าร่วมโครงการไม่เกิน 31 ล้านคน จะได้รับสิทธิภาครัฐร่วมจ่าย 50% สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ อาทิ นวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ ยกเว้นสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ ทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 1,500 บาทต่อคน ในแต่ละรอบ ซึ่งแบ่งเป็น 2 รอบ รอบละ 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.64) และ (ต.ค.-ธ.ค. 64) หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ เป็นวงเงินรวม 93,000 ล้านบาท ซึ่งการร่วมจ่ายคนละครึ่งนี้จะช่วยเติมกำลังซื้อของประชาชน โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นเงิน 186,000 ล้านบาท
    ทั้งนี้ ผู้ที่ได้สิทธิ์คนละครึ่งระยะที่ 1-2 กว่า 15 ล้านคน จะต้องยืนยันข้อมูลผ่านเป๋าตังอีกครั้ง ซึ่งระบบจะขอข้อมูลเพิ่มเติม เช่น อาชีพ รายได้ปัจจุบัน โดยจะได้สิทธิ์คนละครึ่งระยะที่ 3 ต่อเนื่องทันที ส่วนผู้ที่ต้องการลงทะเบียนใหม่ ลงได้ไม่ต้องแย่งกัน เพราะระบบรับเพิ่มจนครบที่ 31 ล้านคน หรือเพิ่มอีกกว่า 15 ล้านคน ไม่จำกัดคนลงทะเบียนต่อวัน และจะปิดระบบเมื่อมีผู้ลงทะเบียนครบตามจำนวนแล้ว
    4.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นโครงการใหม่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ได้รับสิทธิไม่เกิน 4 ล้านคน ที่ชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ ได้แก่ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ ยกเว้นสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชันถุงเงินที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher)
    โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ โดยยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1-40,000 บาทแรก ได้รับ e-Voucher 10% ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001-60,000 บาท ได้รับ e-Voucher 15% ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ e-Voucher จะคืนเป็นวงเงินใน g-Wallet ทุกต้นเดือนถัดไป โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้ โดยประเมินว่าวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการรวม 28,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นเงิน 268,000 ล้านบาท
    “โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จะมีเม็ดเงินอุดหนุนจากภาครัฐประมาณ 28,000 ล้านบาท แต่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการและต้องการรับสิทธิ e-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน จะต้องนำเงินเข้าใน g-Wallet สูงสุดที่ 60,000 บาทต่อคน ซึ่งหากกลุ่มเป้าหมายของโครงการทั้ง 4 ล้านคนมีการนำเงินเข้า g-Wallet ตามจำนวนดังกล่าว จะทำให้มีเม็ดเงินจากประชาชนออกมา 240,000 ล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 268,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้ส่วนต่างจากประชาชนจะมากกว่าของรัฐ เพราะโครงการพุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มมีกำลังซื้อสูงเป็นหลัก” นางสาวกุลยาระบุ
    สำหรับการลงทะเบียนและการใช้จ่ายของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้นั้น ต้องมีสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีบัตรประจำตัวประชาชน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ได้ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย.2564 ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.2564 เวลา 06.00- 22.00 น. โดยผู้ที่เคยใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) แอปพลิเคชันเป๋าตังแล้ว สามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือเว็บไซต์ w ww.คนละครึ่ง.com หรือ w ww.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com ตามต้องการ ส่วนประชาชนที่ไม่เคยใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ของโครงการที่ต้องการเข้าร่วม
    นอกจากนี้ ประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนที่สาขาหรือตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชันถุงเงินที่เข้าร่วมแต่ละโครงการได้ในเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 ในเวลา 06.00-23.00 น. ในส่วนของโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อนำมาคำนวณสิทธิได้ในช่วงเดือน ก.ค. จนถึงวันที่ 30 ก.ย.2564 และใช้ e-Voucher ได้ในช่วงเดือน ส.ค. จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย.2564 เป็นต้นไป เวลา 06.00-22.00 น.
    "ทั้ง 4 โครงการ คาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายได้เร็วที่สุดในวันที่ 1 ก.ค.ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 ซึ่งการดำเนินการทั้ง 4 โครงการดังกล่าวครอบคลุมประชาชน 51 ล้านคน จะช่วยรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ จากการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน 473,000 ล้านบาท อีกทั้งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่พี่น้องประชาชน เพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งรักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2564” โฆษกกระทรวงการคลังระบุ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"