ให้สำนึก‘ธรรมวินัย’ พระสังฆราชทรงกำชับ/อึ้ง!สีกา‘จ.’ช่วยอดีตเจ้าคุณซุกลาว


เพิ่มเพื่อน    

  "สมเด็จพระสังฆราช"   ประทานพระโอวาทเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เน้นย้ำยึดธรรมะ "วิมังสา" หมั่นใช้ปัญญาใคร่ครวญในสิ่งที่ทำ ช่วยกันตรวจตราผู้อยู่ในปกครองมีสำนึกในการปฏิบัติตนตามครรลองพระธรรมวินัย "จักรทิพย์" นำทีม ตร.ชุดใหญ่ตามจับ "อดีตพระพรหมเมธี" หลังพบมีสีกา จ. พาหนีข้ามไปหลบที่ สปป.ลาว "ราชทัณฑ์" เผยอดีตพระนอนคุกเริ่มปรับตัว ห่วงอาการ "พุทธะอิสระ" อาจต้องผ่าตัด

    เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. เพจสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 20 ภาพลงในอัลบั้ม พระกรณียกิจบางประการ โดยระบุว่า บ่ายวันศุกร์ที่ 1 มิ.ย.2561 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เสด็จไปวัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ทรงเปิดการประชุมกรรมการเถรสมาคมธรรมยุต ประจำพุทธศักราช 2561 และการประชุมสังเกตการณ์ของเจ้าคณะจังหวัดคณะธรรมยุต
    โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า “ท่านที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เป็นผู้มีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญในหลายบทบาท ทั้งในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายของบ้านเมือง ทั้งในฐานะผู้บริหารภารกิจให้ลุล่วงตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งต่างๆ ทางคณะสงฆ์ และที่สำคัญที่สุดคือในฐานะพระเถระในพระบวรพุทธศาสนา ผู้มีบทบาทหน้าที่ตามพระธรรมวินัย
    ทุกท่านล้วนรู้จักธรรมะหมวดอิทธิบาท 4 กันดีอยู่แล้ว แต่ในที่นี้ อาตมภาพขอเน้นย้ำธรรมะประการสุดท้ายคือ วิมังสา ได้แก่ การหมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งข้อหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น ให้มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้พระราชทานพระราโชบายแก่การคณะสงฆ์ไว้ ดังที่อาตมภาพเชิญมากล่าวย้ำอยู่เสมอๆ พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พระมีความสำนึก และเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย
    ความสำนึกและการทำประโยชน์จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าท่านพระสังฆาธิการไม่ช่วยกันตรวจตรา กำชับ และเข้มงวดกวดขัน ให้ผู้อยู่ในปกครองมีสำนึกในการปฏิบัติตนตามครรลองพระธรรมวินัย และศึกษาพัฒนาตนเอง เพื่อจะได้มีความรู้ความสามารถมาใช้เกื้อกูลประโยชน์ต่อพระศาสนาและบ้านเมือง
    ถ้าท่านทำอยู่แล้ว ก็ขออนุโมทนา แต่ขออย่าได้หยุดยั้งที่จะเพิ่มกำลังของอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานคณะสงฆ์ให้เกิดประสิทธิผลดียิ่งๆ ขึ้น แต่ท่านใดที่ยังย่อหย่อน อาตมภาพขอกำชับและตักเตือนท่าน ให้ระมัดระวังและมีสำนึกไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย”
    ขณะที่ความคืบหน้าการติดตามอดีตพระพรหมเมธี หรืออดีตเจ้าคุณจำนงค์ (พระจำนงค์ เอี่ยมอินทรา) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรมหาวิหาร ผู้ต้องหาตามหมายจับ สนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม (เงินทอนวัด) ตั้งแต่ปี 2557 รวมกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีหมายจับนั้น 
    พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมทีมสืบสวนชุดใหญ่จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.), กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1(บช.ภ.1), สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.), กองบังคับการสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ลงพื้นที่จังหวัดนครพนมมาตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังพบเบาะแสอดีตพระพรหมเมธีไปปรากฏตัวอยู่ที่จังหวัดนครพนม ก่อนที่จะหายตัวไป โดยคาดว่าน่าจะมีลูกศิษย์ใกล้ชิดให้ความช่วยเหลือเพื่อหลบหนีข้ามฝั่งไปยัง สปป.ลาว
อดีตเจ้าคุณจำนงค์ซุกลาว
    มีรายงานว่า ช่วงวันที่ 24 พ.ค. ที่ตำรวจกองปราบปรามเปิดปฏิบัติการจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่วัดสระเกศฯ และวัดสามพระยานั้น เป็นวันที่อดีตพระพรหมเมธีเดินทางไปรับกิจนิมนต์อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อทราบข่าวตำรวจเปิดปฏิบัติการจับพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปในคดีเงินทอนวัด ทำให้พระพรหมเมธีที่จะต้องเดินทางกลับวัด จึงเปลี่ยนเป้าหมาย และเดินทางหลบหนีไปที่จังหวัดนครพนมทันที โดยใช้รถตู้สีดำ ซึ่งทราบว่าเป็นของโยมอุปัฏฐายิการายหนึ่งให้การสนับสนุน พร้อมคนขับพาอดีตพระพรหมเมธีเดินทางไปที่วัดป่าสุคนธลักษณ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม และหลบอาศัยอยู่ที่วัดดังกล่าว 
    "จากนั้นเมื่อลูกศิษย์คนสนิทติดต่อไปยังลูกศิษย์ของอดีตพระพรหมเมธีที่อยู่ในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว จึงได้จอดรถตู้ทิ้งไว้ในวัด โดยคาดว่าน่าจะเดินทางข้ามแม่น้ำโขง ใช้เรือหาปลาที่ชุมชนบ้านท่าควาย เขตเทศบาลเมืองนครพนม ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นพาหนะไปยัง สปป.ลาว มีสีกาอักษรย่อ จ. ลูกศิษย์คนสนิทชาวไทยพาข้ามพรมแดนไป" แหล่งข่าวระบุ
    มีรายงานด้วยว่า หลังจากข้ามชายแดนได้แล้ว อดีตพระพรหมเมธีได้ไปพักที่โรงแรมดงชัย ในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว กระทั่งเช้าของวันที่ 31 พ.ค. ก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองสองห้อง ซึ่งห่างจากเมืองท่าแขกไปทางเหนือประมาณ 50 กม. ซึ่งที่นั่นมีคนมาคอยรับตัวพระพรหมเมธีเดินทางต่อ โดยยังไม่ทราบจุดหมายปลายทางว่าไปที่ใด ทางเจ้าหน้าที่ได้ตามประกบตัวสีกา จ. อย่างใกล้ชิด และสามารถควบคุมตัวได้ที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) จังหวัดนครพนม ขณะกำลังเดินทางกลับเข้ามาจากฝั่ง สปป.ลาว พร้อมนำตัวมาสอบสวนหาเบาะแสของพระพรหมเมธีว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนต่อไป
    แหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบลูกศิษย์บางคนทราบว่า ส่วนตัวพระพรหมเมธีพอจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องถูกจับกุมในคดีเงินทอนวัด โดยบอกไม่มีความกังวลแต่อย่างไร ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็พอจะมีช่องทางหลบหนีอยู่แล้ว เพราะมีกลุ่มญาติโยมที่นับถือเป็นจำนวนมากอยู่ในฝั่ง สปป.ลาว ซึ่งพร้อมที่จะพาไปหลบหนีไปทันที หากว่าจะถูกจับกุม
    ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 3 กภ 8672 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดทิ้งไว้ใกล้กุฏิพระเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ บ้านค่ายเสรี ต.นางาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม เชื่อว่าเป็นรถของอดีตพระพรหมเมธี แต่ไม่พบว่ามีพระสงฆ์ สามเณร และผู้ดูแลอยู่ในวัด ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของรถตู้คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบยึดไปเก็บไว้ที่ สภ.เรณูนคร จ.นครพนม พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเก็บดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงภายในรถอย่างละเอียด 
    แหลงข่าวระบุว่า ได้สอบถามพระในวัดป่าสุคนธรักษ์ ทราบว่าวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นวันวิสาขบูชา เวลาหลังเที่ยง มีชายคนหนึ่งเป็นฆราวาสเดินมาบอกว่า “ขอฝากรถหน่อย” แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย 
    จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตพระพรหมเมธี โดยบอกเคยเจออดีตพระพรหมเมธีครั้งเดียวในร้านอาหารที่แขวงคำม่วน สปป.ลาว จึงเข้าไปกราบนมัสการในฐานะเป็นพระผู้น้อยเท่านั้น  
    ที่กรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการควบคุมอดีตพระที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ หรืออดีตพระสังคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่เพิ่งถูกนำตัวฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคืนแรก ได้ถูกคุมตัวในแดนแรกรับเพื่อให้ปรับตัวตามระเบียบเรือนจำ 
พุทธะอิสระอาจผ่าตัด
    "ตลอดคืนที่ผ่านมาไม่มีอาการวิตกใดๆ ส่วนอดีตพระทั้งหมดที่ถูกคุมตัวในเรือนจำอีก 6 คน ได้นำตัวมายังแดนควบคุมผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งเรือนจำได้อะลุ่มอล่วยเรื่องการแต่งกายและวิถีชีวิตเพราะทุกคนเคยครองสมณเพศมาเป็นเวลานาน แต่โดยรวมแล้วพบว่าทุกคนปรับตัวได้ดีขึ้น ส่วนรายที่มีปัญหาสุขภาพ สามารถให้ลูกศิษย์นำยารักษาโรคที่มีการรับรองจากแพทย์ หรือยาที่จำเป็นต้องใช้ และไม่มีในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาใช้ได้" พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าว
    อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยังกล่าวถึงอาการป่วยของอดีตพระพุทธะอิสระว่า เท่าที่ดูมีปัญหาสุขภาพบ้าง แต่ไม่รุนแรงมากนัก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวก เนื่องจากหมอนรองกระดูกอักเสบ ซึ่งทางเรือนจำได้ให้คณะแพทย์จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เข้ามาดูแลตรวจอาการและทำกายภาพบำบัดทุกวัน ซึ่งโรงพยาบาลก็มีเครื่องมือในการทำกายภาพบำบัดอยู่แล้ว คาดว่า 2 สัปดาห์น่าจะดีขึ้น แต่หากไม่ดีขึ้น ก็จะต้องพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีการผ่าตัดหรือไม่ ก็จะพิจารณากันอีกครั้ง
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยังคงมีกลุ่มศิษย์และพระลูกวัดสระเกศฯ วัดสามพระยา วัดสัมพันธวงศารามฯ เดินทางมาเยี่ยมอดีตพระเถระผู้ใหญ่รวม 7 ราย ซึ่งถูกส่งตัวเข้ามาคุมขังในเรือนจำ เนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและทุจริตงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด งบอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ส่วนนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ได้แจ้งความประสงค์ของดเยี่ยมญาติ แต่ยังคงให้ทนายความเข้าพบเพื่อปรึกษาคดีได้ตามความเหมาะสม ในส่วนของอาการปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเริ่มดีขึ้น
    ที่กองปราบปราม นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ อ้างเป็นกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน และเครือข่ายองค์กรชาวพุทธอื่นๆ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม  
    นายจรูญกล่าวว่า การกระทำของ พ.ต.ท.พงศ์พร  ทำให้ตำรวจเข้าตรวจค้นและแจ้งข้อหากับพระสงฆ์ในหลายวัด และมีการใช้หน่วยคอมมานโดเข้าบุกจับพระชั้นผู้ใหญ่สึก พร้อมทั้งมีแผนจะจับกุมในลักษณะเดียวกันทั่วประเทศกว่า 100 วัด กลุ่มชาวพุทธฯ ลงมติร่วมกันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีความไม่ชอบมาพากล มีผู้ไม่หวังดีโยนความผิดให้พระสงฆ์ 
    เขากล่าวว่า ความผิดทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่พระสงฆ์ แต่อยู่ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจากเป็นผู้ให้งบสนับสนุนแก่วัด พระสงฆ์ไม่รู้ขั้นตอนการของบประมาณ และการใช้งบ แต่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกลับแจ้งข้อกล่าวหากับพระสงฆ์ว่าใช้งบประมาณผิดประเภท จึงเป็นเหตุให้พระสงฆ์ถูกจับสึกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้วัดหลายวัดถูกทำลายชื่อเสียง
    "กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินจึงต้องการแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฐานดำเนินคดีโดยมิชอบ/ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่ พศ.ที่มีส่วนในการอนุมัติงบได้รับความผิด และต้องการให้สอบสวนผู้ที่มีส่วนอนุมัติเงินงบประมาณดังกล่าวให้พระสงฆ์เพื่อหาต้นเหตุที่แท้จริงของความผิด" เขากล่าว
    แกนนำกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินกล่าวว่า นอกจากนี้ เราขอให้มีการติดตามตัวนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ.ปี 2555 ที่มีส่วนเกี่ยวกับการกระทำการทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์และการพัฒนาวัดตั้งแต่ปี พ.ศ.2555-2559 รวมทั้งสิ้น 33 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 71,939,017.91 บาท มาดำเนินคดี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงของคดีต่อไป
    "การเดินทางมาในวันนี้ ไม่ได้เป็นการต่อต้านหรือ คัดค้าน การดำเนินคดีพระสงฆ์ที่กระทำความผิด แต่มองว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้จัดสรรงบประมาณให้กับทางวัด  รวมทั้งเราจะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ตีความอำนาจศาล และตำรวจที่จับพระสึกละเมิด พ.ร.บ.สงฆ์ตามมาตรา 30 หรือไม่ด้วย" แกนนำกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินระบุ.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"