120 วันเปิดประเทศ!! เร่งฉีดวัคซีนปลุกเชื่อมั่นฟื้นเศรษฐกิจ


เพิ่มเพื่อน    

19 มิ.ย.64 - หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยหนึ่งใจความที่เป็นประเด็นร้อนแรงคงหนีไม่พ้น “ตั้งเป้าเปิดประเทศใน 120 วัน” ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มมีความหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่รัฐบาลจะเดินหน้าโรดแมป เพื่อนำพาการเปิดประเทศเป็นประตูสู่การฟื้นเศรษฐกิจอีกครั้ง เนื่องจากยังมี “โจทย์” และ “ความท้าทาย” อีกหลายประการ ซึ่งรัฐบาลควรรีบชี้ให้เห็นแนวทางที่ชัดเจนโดยเร็วที่สุด 

เศรษฐกิจไทยยังไม่กลับมาจนปี 2566

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าสถานการณ์การจัดหาและกระจายวัคซีนที่ล่าช้าและการระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนของไทยในไตรมาส 2 ปีนี้ น่าจะหดตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และการเปิดประเทศอาจทำได้ล่าช้า ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับเข้ามาได้เพียง 160,000 คนเท่านั้นในปี 2564

ขณะเดียวกัน ยังประเมินว่าแผนการฉีดวัคซีนของไทยในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง ในกรณีฐานประเมินว่าการฉีดวัคซีนของไทยน่าจะสามารถฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม 50% ของประชากรในปีนี้ และด้วยระดับประสิทธิผลของวัคซีนที่ใช้ กว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่จะต้องใช้ฉีดวัคซีนมากกว่า 80% ของประชากร และอาจจะใช้เวลาถึงไตรมาส 2 ของปี 2565 แต่ในกรณีเลวร้ายที่วัคซีนทำไม่ได้ตามแผน อาจต้องใช้เวลานานกว่าเดิม ทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ได้เมื่อล่วงเข้าไปในครึ่งหลังของปี

แผนการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าและไม่มีความแน่นอน  จะสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวจะไม่สามารถกลับมาได้ในเต็มที่ในปีนี้

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวัคซีนเป็นตัวแปรสำคัญของ “การเปิดประเทศ” อีกครั้ง เพราะการฉีดวัคซีนล่าช้าถือเป็นต้นทุนขนาดใหญ่ต่อเศรษฐกิจไทย ยิ่งช้ายิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ แน่นอนว่านอกจากเรื่องบริหารจัดการวัคซีนที่ควรมีประสิทธิภาพแล้ว งานด้านสาธารณสุขก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยควบคุมสถานการณ์ รวมถึงการเยียวยาประชาชนในหลายภาคส่วนก็เป็นตัวสะท้อนว่ารัฐบาลต้องบริหารต้นทุนทางการคลังเพื่อต่อสู้กับการระบาดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นโยบายวัคซีนต้องมีความชัดเจน

นายพันธุ์ศักดิ์ เลียงพิบูลย์ ผู้อำนวยการด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยกับ “ไทยโพสต์” ว่า ในขณะนี้การเร่งอัตราการฉีดวัคซีนนับเป็นเรื่องสำคัญที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินงาน โดยเฉพาะบุคลากรทางด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร เพราะหากพนักงานที่อยู่ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวยังไม่ได้รับวัคซีน จะทำให้กิจการของผู้ประกอบการเหล่านั้นเป็นไปได้อย่างที่จะสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“คนในธุรกิจพร้อมรับความเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะตอนนี้ก็ลำบากกันหมด หากนโยบายการฉีดวัคซีนมีความแน่นอนและชัดเจน หรือวัคซีนมาตามกำหนด ก็จะทำให้การเปิดประเทศมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น อย่างโครงการนำร่อง ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ก็จะเห็นได้ว่าทุกภาคส่วนหรือผู้ประกอบการในภูเก็ตเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว การฉีดวัคซีนก็เข้าถึงได้จำนวนมาก ส่วนตัวมองว่าการเปิดประเทศภายใน 120 วันคงเกิดขึ้นได้จริง ภายใต้เงื่อนไขของความแน่นชัดเรื่องการฉีดวัคซีน มองว่าในเดือนกรกฎาคม ควรให้ประชาชนเข้าถึงเข็มแรกได้มากที่สุด”

ขณะเดียวกัน ภาครัฐเองยังต้องมีแนวทางที่แน่ชัดเกี่ยวกับข้อจำกัดการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะเรื่องการรับวัคซีนครบโดสแล้วไม่ต้องกักตัว หรือกฎเกณฑ์เดินทางเรื่องอื่นๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ สิ่งสำคัญคือหากมีนโยบายที่แน่นอนและชัดเจนแล้ว ก็ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการประชาสัมพันธ์ออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ

เผยกลุ่มหุ้นรับอานิสงส์

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า  ประเด็นการเปิดประเทศจะมีผลที่ดีกับตลาดหุ้นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสารจากผู้นำประเทศ รวมถึงยังจะมีธุรกิจต่างๆ ทยอยเปิดกิจการและดำเนินธุรกิจมากขึ้น ส่วนหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการแถลงของนายกฯ มองว่าเป็นหุ้นเกี่ยวกับการเปิดเมืองในกลุ่มสายการบินน่ามองที่ AOT และ AAV กลุ่มโรงแรมที่จะได้จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว น่ามองที่ MINT และ CENTEL หุ้นกลุ่มรถไฟฟ้าน่ามองที่ BEM กลุ่มผู้ค้าปลีกน่ามองที่ CPN, CRC และ CPALL กลุ่มโรงพยาบาลที่จะได้รับผลบวกจากวัคซีน น่ามองที่ BCH, BH และ BDMS และกลุ่มธนาคารจากมีการปรับตัวลดลง จะมีผลบวกมากขึ้น น่ามองที่ KBANK, SCB และ BBL

มองบวกพลิกเศรษฐกิจฟื้น

นายวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขอชื่นชมและสนับสนุนถ้อยแถลงของท่านนายกรัฐมนตรีเรื่องการเตรียมเปิดประเทศไทยทั้งประเทศภายใน 120 วัน นโยบายดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของท่านนายกรัฐมนตรีในการวางแผนและกระบวนการที่สมเหตุสมผลและรอบคอบของทางภาครัฐ

สำหรับก้าวแรกที่สำคัญนั้นคือโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดตัวได้ตามกำหนดเวลาที่วางไว้ และมีการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพตามความคาดหวังของนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่จะกลับเข้ามา โดยการเปิดภูเก็ตในครั้งนี้ควรเปิดให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วทุกคนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และหลังจากนั้นกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับการเดินทางเข้าประเทศ และข้อกำหนดในการจำกัดการเคลื่อนย้ายของผู้คนต่างๆ รวมไปถึงระยะเวลาของการกักตัว ก็ควรได้รับการพิจารณาเพื่อผ่อนคลายเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกกระบวนการขอหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry หรือ COE) สำหรับผู้เดินทางที่ต้องการเข้ามายังประเทศไทย

นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ (SIRI) กล่าวว่า  นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจ โดยระบบสาธารณสุขไทยกับทิศทางเศรษฐกิจจะเดินหน้าไปพร้อมกัน  รวมถึงมีเป้าหมายชัดเจนกว่าเดิม มองว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 ต่างชาติจะกลับมา ภาคเอกชนในธุรกิจต่างๆ จะเริ่มมีการฟื้นตัวทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาฯ ภายหลังจากที่ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด–19 มามากกว่า 1 ปี แน่นอนว่าศักยภาพเมืองท่องเที่ยวของไทยมีความโดดเด่น พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ให้กลับมาคึกคักและสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งอีกครั้ง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเป้าหมายที่จะเปิดประเทศภายใน 120 วัน โดยได้เตรียมจัดหาวัคซีนไว้แล้ว 105.5 ล้านโดสนั้น ส่งผลให้ภาคเอกชนและประชาชนเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น และหากสามารถฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรตามแผนที่วางไว้ ก็ยิ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวกลับมาได้เร็วขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือระยะต่อไป แม้จะมีการทยอยเปิดพื้นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวหรือการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว แต่ทุกฝ่ายต้องไม่อยู่บนพื้นฐานความประมาทในการดูแลป้องกันตนเองหรือการ์ดต้องไม่ตก เพราะตอนนี้หลายประเทศก็เริ่มมีการพบการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด ซึ่งแน่นอนว่าหากกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมมากกว่าเดิม จึงต้องนำบทเรียนของไทยในการแพร่ระบาดทั้ง 3 รอบ และบทเรียนจากต่างประเทศมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อเตรียมป้องกันไว้เช่นกัน.

            

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"