'รมต.ดอน'ไม่ใช่นักกีฬาต้องมีสปิริต


เพิ่มเพื่อน    

    “ดอน” ยิ้มรับไม่หวั่นแรงกดดันลาออก   อ้างไม่ใช่นักกีฬาต้องแสดงสปิริต ขณะที่ "วิษณุ" แจงยิบกรณี รมว.ต่างประเทศ ชี้ขาดที่ศาล รธน. "ป้อม-ป๊อก" ประสานเสียงปรับ ครม.หรือไม่อยู่ที่บิ๊กตู่ 
     เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายดอน ปรมัตถ์วินัย  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเห็นว่าการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของภรรยาโดยไม่แจ้ง ป.ป.ช. ขัดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี จนมีกระแสกดดันให้ลาออกว่า ถ้าตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ก็คงไม่มาร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ และคงไม่เดินมาในช่องทางนี้ที่เคยมาประจำ ทั้งนี้ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องดังกล่าวกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้คุยกันในหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น
     ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันจะปฏิบัติหน้าที่ต่อใช่หรือไม่ นายดอนกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า คำตอบอยู่ในใบหน้านี้แล้ว ไม่รู้สึกกดดัน เพราะกระแสกดดันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างสรุปกัน ส่วนเรื่องนี้ก็ค่อยว่ากันไป ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ต้องรอให้มีความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน เราตอบได้เพียงตามกระแสข่าว
     “แรงกดดันที่ใครต่อใครพูดถึง จะตีความว่าเป็นการกดดันหรือไม่ก็อยู่ที่เรา จะถือว่าเป็นการกดดันหรือทักทาย หรือการแสดงความห่วงใย สนใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ อยู่ที่ว่าเราจะคิดเห็นอย่างไร ขณะนี้ผมก็อย่างที่ว่า คำตอบอยู่บนใบหน้าแล้ว ยืนยันว่าไม่กดดัน เราก็ทำงานของเราไป อย่างไรก็ตาม เรื่องหุ้นนั้นภรรยาได้เคลียร์เรียบร้อยแล้ว โดยหุ้นนี้เป็นมรดกของครอบครัวภรรยา” นายดอนกล่าว
     เมื่อถามว่า ขณะนี้ภรรยาถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ นายดอนกล่าวว่า ถือน้อยว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของลูกชายตนไม่รู้เรื่อง เพราะจริงๆ แล้วตนไม่เคยรู้เลยว่าภรรยามีหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ อะไรบ้าง เพราะเขารับมรดกมาเป็นเวลากว่า 37 ปีแล้ว เป็นของครอบครัว แต่เมื่อกฎหมายบอกว่าต้องไม่ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องดำเนินการไป
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดอนให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งภายหลังการให้สัมภาษณ์ยังชูนิ้วโป้งให้สื่อมวลชนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่รู้สึกกดดัน 
    นอกจากนี้ นายดอนกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการจะเดินทางเยือนอังกฤษและฝรั่งเศสระหว่างวันที่ 20-25 มิถุนายนนี้ ขณะนี้ยังรอความชัดเจนว่าจะต้องมีการหารือในด้านใดบ้าง โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่มีการปรับความสัมพันธ์กัน และได้พูดคุยเบื้องต้นกันแล้วในเดือนมีนาคม การเยือนครั้งนี้ถือว่าทั้ง 2 ประเทศได้เปิดประตูต้อนรับไทย เราจะพูดคุยในหลายๆ เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งเอเชียและยุโรปติดต่อมาเพื่อจะเดินทางเยือนไทยด้วย  
    นายดอนให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า นายกฯ ไม่ได้สอบถามหรือพูดอะไร เพราะถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่มีอะไร ในที่ประชุม ครม.หรือตอนรับประทานอาหาร คุยกันแต่เรื่องอื่น ไม่มีใครซีเรียสอะไร และตนไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรกับแรงกดดัน หรือกังวลใดๆ เรื่องแบบนี้ตนทำงานมา 4  ปีแล้ว เรารู้ว่ามันเป็นอย่างไร
    ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเรียกร้องให้แสดงสปิริตในเรื่องนี้ นายดอนกล่าวว่า "ให้ไปเรียกร้องกับนักกีฬา"
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายดอนว่า สำหรับขั้นตอนทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกฎหมาย 3 มาตรา คือ 187, 170 และ 82 อธิบายภาพรวมได้ว่า ถ้าพูดถึงการพ้นจากตำแหน่งหรือออก จะต้องไปออกเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งวินิจฉัยสุดท้าย ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ เพราะขณะนี้ยังไม่มีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเลย 
    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงขั้นที่ศาลจะสั่งพ้นหรือออกจากตำแหน่งนั้น จะมีกรณีก่อนเมื่อยื่นฟ้องศาล เขาอาจจะสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการหยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่การออก และไม่ใช่การพ้นจากตำแหน่ง เพียงแต่เป็นการหยุดก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ศาลอาจจะสั่งหรือไม่สั่งก็ได้ เป็นไปตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ
    “ผมถึงได้บอกเสมอว่า ทั้งหมดอยู่ที่ศาลว่าจะสั่งหรือไม่สั่ง ทั้งหมดแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ 1.เราจะมาเจอขั้นตอนแรกตอนฟ้องแล้วว่าศาลจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหรือไม่ 2.หากเลยไปจนถึงขั้นศาลพิจารณาสืบพยานแล้วเห็นว่าผิดหรือไม่ผิด ก็ไปชี้กันในตอนนั้น ส่วนระหว่างทางจากนี้ไป รัฐมนตรีดอนจะคิดว่าจะขอหยุดปฏิบัติหน้าที่เอง หรือท่านจะขอลาออก หรือท่านจะอยู่ต่อไปก็เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน กฎหมายไม่ได้พูดอะไรในส่วนเหล่านี้ ส่วนข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ระบุว่าทุกอย่างชัดเจนแล้วมันต้องออกจากตำแหน่ง หรือพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าทำไมตอนที่ กกต.ชี้ถึงมีเสียง 2 ต่อ 2 จนสุดท้ายประธาน กกต.ซึ่งต้องการให้ทุกอย่างเป็นบรรทัดฐาน จึงได้มาชี้ขาดมีเสียง 3 ต่อ 2 อย่างนี้ก็แสดงว่า กกต.เองก็ยังมีข้อสงสัย เพราะเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวพันกับ ส.ส.และรัฐมนตรีในอนาคตอีกจำนวนมาก ก็จะได้เป็นบรรทัดฐานต่อไป” นายวิษณุกล่าว
    รองนายกฯ กล่าวย้ำว่า จนถึงวันนี้ กกต.ยังไม่ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นศาลจะพิจารณาตามขั้นตอน รวมทั้งการสืบพยานต่างๆ น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ตามปกติจะมีการถามมาตอบไป เพราะฉะนั้นขณะนี้ถือว่าทุกอย่างยังอยู่อย่างเดิม นายดอนก็มีเรื่องที่ต้องปฏิบัติเตรียมงานให้นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศ รวมทั้งที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ 8 ซึ่งนายดอนต้องตระเตรียมข้อมูลให้เสร็จ และหลังจากปลอดโปร่งโล่งใจแล้ว นายดอนจะคิดและตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน ตนพูดอะไรไม่ได้ยกเว้นข้อกฎหมาย
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่า ยังไม่รู้ ต้องไปถามนายกฯ ส่วนเรื่องของนายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีต รมว.การต่างประเทศ ที่ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์นั้น ยังไม่มีความชัดเจน ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาก่อน
    พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่า คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ชัดเจนคือนายกฯ คนเดียว ไม่มีใครตอบได้ เพราะอำนาจอยู่ที่นายกฯ ซึ่งนายกฯ ก็ได้ตอบชัดเจนไปแล้วเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.
    ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่จะให้พลเรือนมานั่งในตำแหน่ง รมว.มหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เรื่องการทำงานใกล้ชิดประชาชน เราพยายามอยู่แล้ว เพราะคสช. ไม่มี ส.ส. ก็ต้องใช้เครื่องมือที่มี หรือกลไกที่เรียกว่าประชารัฐเป็นตัวไปเชื่อมกับประชาชน เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกับประชาชน และตอนนี้ทุกกระทรวงก็ทำงานร่วมกัน เช่น โครงการไทยนิยมฯ มีทีมทำงานลงไปทุกกระทรวง ทุกท้องที่ ทำให้ใกล้ชิดประชาชนได้ 
    เมื่อถามถึงกรณีมีเสียงวิจารณ์ว่ารัฐมนตรีที่มาจากพลเรือนจะใกล้ชิดกับประชาชนได้มากกว่ารัฐมนตรีที่มาจากทหาร พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า “ก็ต้องแตกต่างเป็นธรรมดา ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร และผมก็คิดว่าผมลงพื้นที่มาก ต้องทำงานทั้งสองทาง เพราะงานหลักอยู่ที่นโยบาย แต่ต้องไม่ทิ้งพื้นที่ ผมเองก็ลงพื้นที่ไม่น้อย ไปกับนายกฯ ก็ไป ดังนั้นจะวิพากษ์อย่างไรก็เชิญ แต่ผมอยู่กับประชาชนแน่นอน ผมไม่มีพรรค ไม่มีผลประโยชน์”
    ถามว่า หากจะมีการปรับ ครม. ควรมีการเพิ่มสัดส่วนพลเรือนเข้ามาหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ตนบอกแล้วว่านั่นคืออำนาจของนายกฯ อยู่ที่นายกฯ เพราะนายกฯ เป็นคนที่ดูคนที่ทำงานได้ ตอบสนองเรื่องงานได้เป็นหลัก จะเป็นใครอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งนายกฯ ก็ไม่ได้มาเล่าให้ตนฟังว่าจะปรับใครหรือไม่ อย่างไร เป็นสิทธิของนายกฯ และเราก็ควรเคารพสิทธินั้น ไม่ควรไปละลาบละล้วงถาม
    วันเดียวกัน พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมครม. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมครม. มีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.พิจิตร และประชุม ครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.นครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยวันที่ 11 มิ.ย. นายกฯ ลงพื้นที่ จ.พิจิตร พบปะประชาชนที่บึงสีไฟ ต.ในเมือง อ.เมืองฯ และเยี่ยมชมกิจกรรมการพัฒนาพิจิตรจังหวัดคุณธรรม และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบึงสีไฟ
    พ.อ.อธิสิทธิ์กล่าวว่า จากนั้นนายกฯ ไปตรวจเยี่ยมโครงการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร เพื่อการระบายน้ำและกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร ที่ประตูระบายน้ำดงเศรษฐี ช่วงบ่ายเดินทางไป จ.นครสวรรค์ พบปะประชาชนและผู้นำท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดที่หอประชุมอาคารอเนกประสงค์บึงบอระเพ็ด เสร็จแล้วเยี่ยมชมตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว ที่ตลาดต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนวันที่ 12 มิ.ย. จะมีการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ จ.นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี ต่อจากนั้นจะประชุม ครม.สัญจร เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมนายกฯ จะเดินทางเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา และชุมชนบ้านแก่ง เยี่ยมชมบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ณ บริษัท กล้า แกร่ง จำกัด ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางกลับ กทม.
    นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย กล่าวว่า กระแสข่าวเรื่องการปรับ ครม. มองว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้ เพราะผู้ประกอบการมีการผลิตและการลงทุนในประเทศเป็นปัจจัยหลัก ดังนั้นรัฐบาลจึงเป็นเพียงคนคุมกติกา ถ้าเปลี่ยนคนคุมกติกาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เนื่องจากกติกาก็ยังเหมือนเดิม
    ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะมีการปรับ ครม.หรือไม่ หากรัฐบาลก็มีการกำหนดวันเลือกตั้งไว้ชัดเจนแล้ว ส่วนตัวคิดว่าการปรับครม.ครั้งนี้ ไม่น่าจะช่วยให้ ครม.ใหม่เข้ามาสานงานได้ทันและต่อเนื่อง เนื่องจากเหลือระยะเวลาทำงานเพียงสั้นๆ ก็จะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานแล้ว มองว่า ครม.ชุดปัจจุบันก็ยังน่าจะเดินหน้าทำงานต่อไปได้ดี
    นายธนวรรธน์ยังกล่าวถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยว่า การปรับ ครม.จะมีผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจหรือไม่นั้น มองว่าขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีที่จะมาใหม่สามารถขับเคลื่อนงานได้ตามนโยบายหรือยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลวางไว้หรือไม่ ซึ่งหากเป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นและยอมรับว่าจะสามารถสานต่อนโยบายของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจในเชิงบวก ในทางตรงกันข้าม หากบุคคลที่เข้ามาใหม่ไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่เชื่อมั่นจากประชาชน ก็จะส่งผลในเชิงลบต่อเศรษฐกิจได้
        "ถ้าจะมีการปรับ ครม.เกิดขึ้นจริง ก็เชื่อว่ารัฐบาลจะเลือกบุคคลที่สามารถทำงานได้จริงเข้ามา ถ้าเป็นรัฐมนตรีที่เข้าใจนโยบาย และเป็นที่ยอมรับ ถูกคน ถูกที่ ถูกทาง ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ก็เชื่อว่าการปรับ ครม.จะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจในเชิงลบ" นายธนวรรธน์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"