การปรับตัว ปรับใจ ในยุคโควิดยังคงมาแรง


เพิ่มเพื่อน    

 

ฟังคำชี้แจง อรรถาธิบาย เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ไม่ว่าในบ้านเรา-บ้านเขา จากที่ปรึกษา ศบค. คุณหมอ อุดม คชินทร เมื่อวันวาน ต้องเรียกว่า...เล่นเอา เหนื่อย กันไปมิใช่น้อย ไม่ว่าในแง่ความรู้สึก-นึกคิด ไปจนถึงการหาทางปรับตัว ปรับสภาพ เพื่อให้สอดคล้อง เหมาะสม กับการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ ที่ยังไม่คิดจะเหี่ยวปลาย หัวตก เอาเลยแม้แต่น้อย...

            ----------------------------------------------------

            คือเอาไป-เอามาแล้ว...ท่านเชื้อไวรัสโควิดที่ว่า ท่านออกจะเก่งกาจ เฉลียวฉลาด มิใช่ย่อย เผลอๆ เหนือกว่าท่าน โทนี่-โทนาฟ ประมาณร้อยเท่า สองร้อยเท่า เอาเลยก็ไม่แน่ สามารถปรับตัว ปรับสภาพ วิวัฒนาการ กลายพันธุ์ จนเกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ เร็วซะยิ่งกว่าการประดิษฐ์ คิดค้น บรรดา วัคซีน ทั้งหลายของมวลมนุษย์ในแต่ละตัว จนระบบ ภูมิคุ้มกัน ที่เคยมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่านั้น มีอันต้องลดฮวบๆ ฮาบๆ ระดับ 3 เท่า 4 เท่า เอาเลยถึงขั้นนั้น และนั่นย่อมทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดนับจากนี้ไปจนอนาคตเบื้องหน้า ไม่ว่าจะระลอก 3 ระลอก 4 หรือระลอกเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ยิ่งซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ชุลมุน-ชุลเก ยิ่งขึ้นไปใหญ่...

            ---------------------------------------------------

            แนวโน้มที่จะต้องหันมา ทำใจ มันจึงชักจะกลายเป็นแนวโน้มที่มาแรง แซงโค้ง ในหลายต่อหลายประเทศยิ่งเข้าไปทุกที คือทำใจที่จะหาทาง อยู่ร่วมโดยสันติ กับท่านเชื้อไวรัสตัวนี้ให้จงได้ เลิกหูแหก-ตาแหก กับจำนวน ผู้ติดเชื้อ ที่ขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะระดับพันๆ อย่างบ้านเรา หรือระดับหมื่นๆ อย่างบ้านเขาอีกไม่รู้กี่บ้านต่อกี่บ้าน รวมทั้งอาจต้อง เลิกด่า ใครต่อใคร ที่ยังไงๆ มันคงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเอาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งประเภทด่าเท่าไหร่ก็คงไม่คิดจะ ลาออก อยู่แล้วแน่ๆ อย่างท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา เป็นต้น สู้หันมาเพิ่มความระมัดระวังในทางส่วนตัว เพิ่มความรับผิดชอบในการกำหนดระยะห่าง ระยะเคียง กับผู้อื่น น่าจะเข้าท่ากว่า หรือน่าจะ เวิร์ก กว่าเป็นไหนๆ...

            -----------------------------------------------------

            คือคงต้อง อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ให้มากๆ เข้าไว้นั่นแหละดี อย่าไปมัว โยนบาป ให้ใครต่อใครคนใด คนหนึ่ง ที่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมามากมายซักเท่าไหร่ เหมือนอย่างที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดระดับโลกอย่างอเมริกา พยายามโยนบาปไปให้คุณพี่จีน ตั้งแต่เริ่มแรกนั่นแหละ นอกจากมันจะหาข้อมูล หลักฐาน ข้อพิสูจน์ อะไรแทบไม่ได้ มันยังส่งผลให้สิ่งที่สำคัญเอามากๆ ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ นั่นก็คือ ความร่วมมือ-ร่วมใจ ของบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย ต้องลดน้อย ถอยลง จนทำให้ ปัญหา ซึ่งมันซับซ้อน วุ่นวาย อยู่แล้ว ยิ่งมีแต่วุ่น...กับ...วุ่น หนักยิ่งขึ้นไปใหญ่...

            --------------------------------------------------

            นำไปสู่การลุกลาม บานปลาย กลายเป็น การทูตวัคซีน หรือ การเมืองวัคซีน ไปจนถึงการเอารัด-เอาเปรียบ กันในทางการค้า การผูกขาด เก็บกักวัคซีน จนทำให้ความผิดแผก แตกต่าง ระหว่างประเทศรวย-ประเทศจน ประเทศเหนือ-ประเทศใต้ ยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก พูดง่ายๆ...ขณะที่ ศัตรูของมวลมนุษยชาติ อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด ท่านสามารถปรับตัว ปรับสภาพ ได้รวดเร็วเอามากๆ แต่บรรดามนุษยชาติทั้งหลายก็ยังคง เหมียนเดิมม์ม์ม์ อยู่อีกนั่นเอง คือยังคงยื้อแย่ง แข่งขัน เอาชนะคะคานระหว่างกันและกัน ช่วงชิงโอกาส ช่วงชิงผลประโยชน์ อย่างไม่คิดลดราวาศอก เอาเลยแม้แต่น้อย...

            ----------------------------------------------------

            ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าใครชนะ-ใครแพ้ สุดท้าย...ย่อมหนีไม่พ้นต้อง เสร็จเชื้อโควิด อยู่แล้วแน่ๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย การหันมาระมัดระวังในทางส่วนตัว และเพิ่มความรับผิดชอบในทางส่วนตัว จึงหมายรวมถึงการปรับทัศนคติ ปรับความคิดและจิตใจ ให้มันหายโกรธ หายเกลียด ใครต่อใครลงไปซะมั่ง การ อยู่ร่วมโดยสันติ กับเชื้อไวรัสโควิด มันถึงพอจะเป็นไปได้ ไม่ถึงขั้นต้องป่วยตาย หรือเผลอๆ...อาจเป็นโรคประสาทตายไปซะก่อนหน้านี้ เพราะด้วยการหายโกรธ หายเกลียดนี่เอง ที่มันอาจพอช่วยให้เกิด สมาธิ ในการรับมือ ไม่ว่ากับตัวเชื้อไวรัส หรือกับ ผลกระทบ ในรูปแบบต่างๆ หรือก่อให้เกิด ความร่วมมือ-ร่วมใจ อันจะนำไปสู่การแก้ไข เยียวยา สิ่งที่กำลังตามมาไม่ว่าในระดับโลก หรือในระดับแต่ละประเทศ ก็ตาม ทั้งแง่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ยังต้องหาทางรับมือกันอีกเยอะ...

            --------------------------------------------------------

            เหมือนอย่างที่ท่านมุขมนตรี หรือรัฐมนตรีต่างประเทศจีน นาย หวัง อี้ ท่านพูดๆ เอาไว้นั่นแหละ ต้องสร้างความร่วมมือ-ร่วมใจในระดับ กำแพงเมืองจีน เอาเลยถึงขั้นนั้น ถึงพอจะ เอาอยู่ สำหรับ ปัญหา อีกไม่รู้กี่ต่อปัญหา ซึ่งกำลังสาดซัดเข้ามาอย่างเป็นระลอก แต่ถ้าเอาแต่ ด่า หรือฉวยโอกาสด่าทอผู้อื่น แบบประเภทโหนกระแส หรือ โหนเชื้อโควิด ก็แล้วแต่ โอกาสที่จะแก้ไข เยียวยา สิ่งต่างๆ ที่กำลังตามมา ก็ยิ่งน่าจะยากซ์ซ์ซ์ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น โดยเฉพาะการคิด ปฏิเสธ ประเทศที่มี ขนาดเศรษฐกิจ ใกล้ๆ จะอันดับ 1 ของโลก อย่างประเทศจีน ไม่ได้คิดจะ อยู่ร่วมกันโดยสันติ เพียงเพราะแค่อุดมคติ อุดมการณ์ทางการเมือง แตกต่างกันไปมั่ง อันนี้...ยิ่งมีแต่ตาย...กับ...ตาย หนักขึ้นไปใหญ่...

            --------------------------------------------------------

            เช่นเดียวกับท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮานั่นแหละ...ถ้าหากเห็นหัว เห็นหาง เห็นช่องที่จะ เปลี่ยนแปลงโดยสันติ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าหากท่านยังดิ้นไป-ดิ้นมา ยังไม่คิดลาออกตามคำเชิญชวน ชี้ชวน หรือตามคำข่มขู่ คุกคามใดๆ ก็แล้วแต่ การหันมาด่าแล้ว ด่าอีก ปฏิเสธแล้ว ปฏิเสธอีก ไม่เพียงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย ยังอาจก่อให้เกิดอาการประสาทแดก ประสาทกิน เส้นเลือดในสมองแตกตาย แทนที่จะตายแบบพริ้มๆ เพราะท่านเชื้อโควิด เอาเลยก็ไม่แน่!!!

            -------------------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Anon (อีกครั้ง) ... “Patience is the virtue most needed just when we run out of it. – ขันติธรรม ความอดทน เป็นคุณสมบัติที่เรามักขาด โดยเฉพาะในยามที่เราต้องการมันอย่างเป็นที่สุด...”.

            -----------------------------------------------------------

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"