จะสู้ต่อไปหรือจะทำใจแบบสิงคโปร์


เพิ่มเพื่อน    

 จีนสู้โควิดได้ด้วย 3 “ไม่” และเมื่ออ่านดูทั้ง 3 “ไม่” ของจีนแล้ว รู้สึกหมดหวังกับประเทศไทย เพราะสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ ไม่มีแม้แต่ “ไม่” เดียว แล้วเราจะสู้ได้อย่างไร

  • “ไม่” แรกคือ “ไม่สร้างความสับสนให้ประชาชน” รัฐให้ข้อมูลชัดเจน ไปในทิศทางเดียวกัน รัฐจึงสามารถสั่งการ และออกมาตรการที่เด็ดขาด ประชาชนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นโดนโทษหนัก แต่ ในประเทศไทยเต็มไปด้วยข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ระหว่างหมอด้วยกันเอง และยังมีความสับสนระหว่าง          “กูรูของจริง” และ “กูรู้ของปลอม” ทำให้ประชาชนสับสน เครียด ทำตัวไม่ถูกไม่มั่นใจว่าจะต้องทำตามมาตรการของใคร ในที่สุดก็มีคนไม่ทำตามมาตรการที่ควรทำ
  • “ไม่” ที่สองคือ “ไม่เสนอข่าวที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา” สื่อจีนไม่กระพือข่าวปลอมออกมาป่วนสังคม ไม่มีการใช้ข้อความที่ทำให้เกิดความเกลียดชังกัน จีนใช้วัคซีนที่ผลิตเองในประเทศ ทั้ง Sinovac และ Sinopharm โดยไม่ต้องพึ่งพาวัคซีนฝรั่งยี่ห้อไหนทั้งนั้น พวกเขาก็รอดมาได้ แต่ ของไทยเรามีคนพยายามด้อยค่าวัคซีนที่เรามี ทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทำให้มีคนจำนวนหนึ่งปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนที่เป็นความหวังของประเทศ และพยายามจะพูดว่าวัคซีนที่เรามีอยู่นั้น เกิดจากความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อ ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งเรียกหาวัคซีนที่เรายังไม่มี ประชาชนไม่ศรัทธารัฐบาล ไม่ศรัทธาหมอที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่จัดหาและกระจายวัคซีน
  • “ไม่” ที่สามคือ “คนจีนเขาไม่มีความแตกแยก” คนจีนไม่เสพสื่อไร้คุณภาพจนเกิดอคติ ไม่มัวแต่ชี้นิ้วด่าคนอื่น หรือด่ารัฐบาล รับผิดชอบตัวเองและครอบครัวอย่างมีวินัย ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่และรัฐบาล แต่ คนไทยแตกแยกกัน ด่าทอต่อว่ากัน แซะ แขวะ ด่ากัน และมีการแบ่งฝ่ายกันแบบชนิดไม่มีทางเห็นพ้องต้องกันไปในทางเดียวกัน รัฐบาลไปซ้าย ฝ่ายตรงกันข้ามจะไปขวา รัฐบาลเดินหน้า ฝ่ายตรงกันข้ามจะย่ำอยู่กับที่ รัฐบาลจะปิด ฝ่ายตรงกันข้ามจะให้เปิด รัฐบาลจะเปิด ฝ่ายตรงกันข้ามจะให้ปิด สุดท้ายเราก็มีประชาชนที่แตกแยกกัน ไม่มีความสามัคคี มีคนที่จงใจฝ่าฝืนข้อกำหนดของรัฐบาล อย่างเช่นประโยคว่า “กูจะปิดใครจะทำไม” หรือ “กูจะแสดงใครจะทำไม” บอกว่าอย่าออกมาชุมนุมก็ออกมา

เมื่อเราไม่มีทางที่จะทำได้อย่างจีน เพราะทั้ง 3 “ไม่” ที่จีนเขามีนั้น เราไม่มีเลย และไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ไม่ว่าจะอีกนานเท่าใดก็ตาม สถานการณ์ในเวลานี้ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ามีคนจงใจให้มีจำนวนคนติดเชื้อหรือเปล่า บางคนอาจจะยอมติดเพื่อเอาประกัน เพราะเชื่อว่าถ้าหากตัวเองแข็งแรง อายุน้อย ไม่มีโรคที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เป็นแล้วจะรักษาได้ และรักษาฟรี บางคนอาจจะมีวาระซ่อนเร้นอย่างอื่นที่น่ากลัว นั่นคือจงใจให้มีการติดเป็นกลุ่มก้อน เพื่อให้รัฐบาลล้มเหลวในการจัดการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค และเลยไปถึงการไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการขับไล่รัฐบาล บางคนก็ประมาท เห็นแก่ตัว ทำตามใจตัวเองเหมือนเราไม่มีวิกฤติ สิ่งใดที่รัฐบาลและบรรดาคุณหมอขอให้ ลด ละ เลิก เลื่อน ก็ไม่ยอมที่จะทำตามคำขอร้อง เอาแต่ใจตัวเอง การเอาผิดของเราก็ย่อหย่อน ปรับไม่กี่บาท และติดคุกไม่กี่วัน โทษติดคุกก็รอลงอาญา จึงยังคงมีคนทำผิดกฎหมายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการหรือฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น

พอดีเจอการรณรงค์ของสิงคโปร์ที่ดูเหมือนเขาจะปลง และปรับตัวในการที่จะอยู่กับโควิด ด้วยการทำใจและปรับการกระทำของตนเอง มีวิถีชีวิตแบบใหม่ ทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องกังวลกับโควิด ให้คิดเสียว่ามันคือโรคที่อาจจะเกิดกับพื้นที่ใดก็ได้ ในฤดูกาลใดฤดูกาลหนึ่ง เหมือนไข้หวัด เพียงแต่ต้องมีการปรับตัวให้ต่างจากช่วงก่อนที่จะมีโควิดเท่านั้น ลองมาดูนะว่าเขาทำใจอย่างไร ปรับตัวอย่างไร

ปรัชญาของเขาคือ “เรียนรู้อยู่กับไวรัส (โควิด) รับมือเหมือนไข้หวัดใหญ่ ระดมฉีดวัคซีนต่อไป เลิกนับจำนวนคนติดรายวัน (จะได้ไม่เครียดกับตัวเลข) รายงานเฉพาะคนเจ็บหนักที่ต้องเข้า ICU (น่าจะเตือนใจคนให้รู้ว่าถ้าไม่ระวังตัว เป็นหนักแล้วจะเป็นเช่นไร) คนที่ติดเชื้อแต่อาการไม่หนักให้อยู่บ้าน (น่าจะต้องมีคำแนะนำว่าจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร) และจะมีการตรวจเชื้อแบบ active case finding เฉพาะเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญที่อาจจะทำให้เกิดการติดแบบ Clusters (เพราะถ้าหากตรวจเชิงรุกไปเรื่อย ต้องใช้ทรัพยากรทางการแพทย์เยอะมาก และอาจจะเกินความจำเป็น) และวางแผนที่จะต้องฉีดวัคซีนไปอีกหลายปี (ก็คงเหมือนที่พวกเราต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กันทุกปี)

ประชาชนต้องหาความรู้ให้เข้าใจเรื่องโควิดอย่างถ่องแท้ และยอมรับว่ามันจะเป็นโรคที่อยู่กับเราไปอีกนาน และจะเป็นโรคที่เกิดเฉพาะที่ ไม่ใช่ทั่วโลกอย่างตอนนี้ และจะมาเป็นฤดูกาล ไม่ใช่ตลอดปี เรียนรู้วิธีการที่จะตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง (คงต้องมีการทำเครื่องมือตรวจออกมาขาย เหมือนการวัดระดับน้ำตาลในเลือด วัดความดัน และตรวจการตั้งท้อง) หลีกเลี่ยงการสัมผัสต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของการติดเชื้อ ระมัดระวังตัวในการดำรงชีวิตที่ต้องมีการใช้อุปกรณ์พยุงชีพ เช่น หน้ากาก ยาต้าน ยารักษาต่างๆ อย่างรอบคอบ ระมัดระวังตัวเอง หาทางที่จะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีกว่าเดิม การวิจัยทางการแพทย์ในการจะต่อสู้กับโรคนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป และเดินหน้าที่จะเปิดธุรกิจต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยทุกฝ่ายก็ต้องรู้จักใช้ชีวิตแบบ New normal เพื่อลดความเสี่ยง และยกเลิกการจำกัดการเดินทาง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้สำคัญของประเทศ

ตอนนี้คงต้องถึงเวลาที่พวกเราต้องช่วยกันคิดแล้วว่า เราจะสู้ต่อไป ด้วยการนำเอา 3 “ไม่” ของจีนมาใช้อย่างจริงจัง เคร่งครัด หรือเราจะทำใจอยู่กับโรคนี้ต่อไปอย่างระมัดระวัง ใช้ชีวิตแบบ New normal ไม่ต้องสนใจตัวเลขที่จะเพิ่มขึ้น ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของประเทศชาติ รัฐบาลระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชน และประชาชนก็ต้องยอมฉีดวัคซีนด้วยความเต็มใจ เปิดธุรกิจ เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

การจะทำแบบจีนนั้น จะทำให้เราปลอดภัยจริงๆ ไม่มีความเสี่ยง ส่วนการทำแบบสิงคโปร์นั้น เราทุกคนต้องทำใจ และพร้อมที่จะเสี่ยงจะได้ทำมาหากินได้โดยเร็ว ไม่รอวันที่โควิดบรรเทาเบาบางลง ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น ช่วยกันคิดทีเถอะค่ะ จะเอายังไงกันดี ถ้าเอาแบบจีนต้องเลิกแตกแยกกันนะคะ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"