​​​​​​​สงครามที่รัฐบาลแพ้


เพิ่มเพื่อน    

รัฐบาลแพ้ครับ...

                แพ้ในสงครามข่าวสาร

                ก็อย่างที่หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม โพสต์เฟซบุ๊กเอาไว้

            "...รัฐบาลน่าจะรู้นะครับว่า กำลังเพลี่ยงพล้ำเรื่องข้อมูลข่าวสารโควิดทุกประตู การเสนอจะให้ทีมแพทย์เสนออย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการเสนอทีมโควิดการเมืองควบคู่ไปด้วย

            หลักคือต้องชี้แจงทุกเรื่อง ที่ประชาชนคาดหวัง แบบตรงไปตรงมา รวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วประชาชนจะเข้าใจ และชี้นำให้ประชาชนเห็นทิศทางในอนาคตด้วย

            ที่สำคัญ ต้องควบคุมสถานการณ์ และชี้นำข่าวสารให้ได้ เพราะมีคนออกมาเสนอเรื่องโควิด ในมิติการเมืองแต่ละวันจำนวนมาก เสนอแบบผิดบ้าง บิดเบือนบ้าง และทำให้ประชาชนห่อเหี่ยว แต่รัฐบาลกลับไม่มีทีมโควิดการเมืองเสนอเลย..."

                ใช่ครับ...สงครามข่าวสารในปัจจุบันรุนแรงมาก โดยเฉพาะในโลกโซเชียล

                ใครครอบครองพื้นที่ได้มากกว่าคนนั้นชนะ

                ส่วนเรื่องข้อเท็จ จริง ถูก ผิด แทบไม่มีใครสนใจ

                อยากสะใจมากกว่า

                ยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ มีคนตาย ป่วย เพราะหลังฉีดวัคซีน กลายเป็นประเด็นหลักในการไล่รัฐบาล แม้แต่พรรคฝ่ายค้าน ยังงับเหยื่อโง่ๆ นี้

                การมีคนตายเป็นเรื่องน่าเศร้าครับ และต้องแสดงความเสียใจกับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูงผู้ตาย แต่ถามว่าเป็นการตายจากความผิดพลาดหรือไม่

                คนทั้งโลกล้วนได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่า แม้จะฉีดวัคซีนครบ ๒ เข็มแล้ว ไม่ว่ายี่ห้อไหนก็ตาม มีโอกาสกลับมาป่วยได้

                แต่จะผ่อนจากหนักเป็นเบาได้

                จากที่ต้องเข้าไอซียู ก็ไม่ต้องเข้า

                ก็มีบ้างสัดส่วนที่ต่ำมากๆ ป่วยหนัก และถึงขั้นเสียชีวิต

                ผมเคยยกตัวอย่างไปหลายครั้งแล้ว ดร.ราเจนดรา คาปิลา (Dr.Rajendra Kapila) แพทย์อเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เสียชีวิตที่อินเดีย แม้จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ครบทั้ง ๒ โดสจากอเมริกาแล้ว

                "ดร.ราเจนดรา" ไม่ธรรมดานะครับ 

                เป็นศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์ มาอย่างยาวนาน               เป็นอาจารย์แพทย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐ

                แต่ไม่มีใครโทษว่าเพราะฉีดไฟเซอร์แล้วเสียชีวิต

                ฉะนั้นเลิกเถอะครับความคิดที่ว่า ซิโนแวค วัคซีนเซิ่นเจิ้น ให้ข้อมูลกันผิดๆ สุดท้ายคนไม่กล้าฉีด

                วานนี้คุณหมอโสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวเกี่ยวเนื่องประเด็นข้างต้นคือการเสียชีวิตของ พยาบาล หลังรับวัคซีนชิโนแวค ครบ ๒ เข็มแล้ว

                มีตัวเลขที่่น่าสนใจครับ

                กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค โดสแรกจำนวน ๒๒,๐๖๒ คน พบติดเชื้อ ๖๘ คน หรือคิดเป็น ๓๐๘ ต่อ ๑ แสนราย

                ในจำนวนนี้ ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ๖๗ คน

                เสียชีวิต ๑ คน

                ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบ ๒ โดสแล้ว มีจำนวน ๖๗๗,๓๔๘ คน พบติดเชื้อ ๖๑๘ คน

                คิดเป็น ๙๑ ต่อ ๑ แสนราย

                เป็นผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ๕๙๗ คน

                อาการปานกลาง ๑๙ คน

                มีอาการรุนแรงต้องให้ออกซิเจน ๑ คน

                และมีผู้เสียชีวิต ๑ คน ก็คือพยาบาลที่เป็นข่าว

                บุคลากรที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก จำนวน ๖๖,๙๑๓ คน พบการติดเชื้อ ๔๕ คน

                คิดเป็น ๖๗ ต่อ ๑ แสนราย)

                ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ๔๓ คน

                อาการปานกลาง ๑ คน

                อาการรุนแรงต้องให้ออกซิเจน ๑ คน

                และใส่ท่อช่วยหายใจอีก ๑ คน

                ยังไม่มีผู้เสียชีวิต

                นั่นคือสิ่งที่หมอแถลง

                แต่สิ่งที่โซเชียลเอาไปบิดเบือนคือ บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดกำลังแย่ เพราะวัคซีนไม่มีคุณภาพ แล้ววกไปเรื่องไล่รัฐบาล

                ใช่ครับแย่จริง แต่กำลังแย่เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อมันเยอะขึ้นทุกวัน

                สำหรับคนที่ติดเชื้อเพราะต้องทำมาหากิน ติดเพราะคนไม่รับผิดชอบบางคนเป็นพาหะ กลุ่มนี้น่าเห็นใจมากครับ และต้องให้กำลังใจ ขอให้หายเร็วๆ

                ส่วนพวกที่ติดเชื้อเพราะท้าทาย ประมาท รวมกลุ่มกันชุมนุม กลุ่มนี้ไร้ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และยังเป็นภาระให้บุคลากรทางการแทพย์

                มุมหนึ่งก็น่าเห็นใจครับ รัฐบาลแพ้สงครามข่าวสารเพราะ การเมืองนำเรื่องโควิดไปเป็นเครื่องมือ แต่ละวันกุข่าวจนตามแก้ไม่ทัน

                ไอ้ที่แก้ทันก็ยังเจอปัญหาใหญ่

                มึงไม่ใช่พวกกู กูไม่ฟัง

                ดูกรณีดีลไฟเซอร์เป็นตัวอย่าง

                "พิธา-รักไทย" อ้างผลงานดีลไฟเซอร์ ๑.๕ ล้านโดส ล็อตบริจาคจากอเมริกา เป็นฝีมือตัวเอง

                ถ้า "ไมเคิล ฮีธ" อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ไม่ออกมาแถลงที่มาที่ไป คงจะเชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่า ๒ คนนี้เจ๋งจริง

                เก่งกว่ารัฐบาลทั้งคณะ

                เพิ่มดีกรีไล่รัฐบาลลุงตู่ให้มีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมโขทีเดียว

                แต่เมื่อ "ไมเคิล ฮีธ" ยืนยันดีลนี้ไม่มีคนกลาง

                เป็นการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล

                ดีลพิธาก็เป็นดีลทิพย์ในบัดดล

                แต่...ถึงวันนี้ยังมีคนหลับหูหลับตายกย่อง "พิธา-รักไทย" เทียบชั้น "เสรีไทย"

                สงครามข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญครับ เพราะมีผลต่อการแพ้ชนะสงคราม

                แต่สงครามโรคติดต่ออย่างโควิด ไม่มีใครแพ้หรือชนะ

                ถ้าแพ้ก็แพ้กันหมด

                ชนะก็ชนะกันหมด

                นั่นคือความจริงที่ผู้เสพข่าวต้องรับรู้

                ใครที่เอาแต่จมปลักอยู่กับความเชื่อที่ว่า เปลี่ยนรัฐบาลแล้วสามารถชนะโควิดได้ ลองมองรอบๆ ประเทศไทยครับ

                ในวันที่คนไทยติดเชื้อโควิดเกือบหมื่นคนต่อวันนั้น อินโดนีเซีย ๓.๕ หมื่น มาเลเซียเกือบทะลุหมื่น กัมพูชาเฉียดพัน เวียดนามเพิ่งจะติดเชื้อหลักสิบไม่กี่วัน มาวันนี้เกือบ ๒ พัน พม่าพุ่งพรวดมาที่ ๔.๔ พัน

                ทุกประเทศขาขึ้นแบบก้าวกระโดดหมด เพราะสายพันธุ์เดลตา

                หรือแม้กระทั่งอเมริกา ต่ำกว่าหมื่นได้ไม่กี่วัน มาวันนี้ขึ้นไป ๒-๓ หมื่นอีกแล้ว มีแนวโน้มระบาดรอบใหม่เพราะพันธุ์เดลตา

                ครับ...รับข่าวสารรอบด้านต้องโผล่จากกะลา. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"