ลุงเกาหลี ที่ 'โกเบ'


เพิ่มเพื่อน    

ปราสาทฮิเมจิ อายุราว 700 ปี รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเหตุแผ่นดินไหวฮันชิงเมื่อ 20 กว่าปีก่อนอย่างเหลือเชื่อ

รถไฟระหว่างเมืองจากสถานีโอสึเกียว ในจังหวัดชิกะ ถึงสถานีโกเบ ในจังหวัดเฮียวโกะ ระยะทางราว 80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถประมาณ 450 บาท ถือเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายดีมาก แม้จะไม่รวดเร็วนักแต่ก็ไม่รู้จะรีบไปไหน

แต่เมื่อออกจากสถานีโกเบแล้วผมก็งงเหมือนสุนัขถูกเอามาทิ้ง เดินไปตามเส้นทางที่คาดว่าถูกต้องซึ่งได้เซฟแผนที่ไว้ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือตอนที่ยังมีสัญญาณ Wi-fi ที่บ้านของฮิโรกิ ในเมืองโอสึ

เดินอยู่นานก็พบตัวเองหลงอยู่ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง แล้วก็เดินวนไปวนมาเพราะสับสนกับแผนที่ สุดท้ายเข้าไปถามทางกับลุงที่ยืนคุมงานก่อสร้างถนนโดยการให้ดูที่อยู่ของโฮสเทลจากหน้าจอโทรศัพท์ แกชี้ไปทางหนึ่ง ผมเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดอาการไม่มั่นใจว่าลุงบอกถูกหรือเปล่า จึงเดินกลับไปตั้งหลักที่สี่แยกก่อนหน้านี้ เมื่อพบเด็กนักเรียนคนหนึ่งเดินมาก็เข้าไปถามทันที

คะเนรูปร่างหน้าตาแล้ว น้องผู้ชายคนนี้ถ้าไม่เรียนชั้นม.ต้นตอนปลาย ก็ต้องอยู่ชั้นม.ปลายตอนต้น เขาหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยและไม่พูดไม่จา ผมคิดว่าเขาน่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมา ชี้มือไปทางที่ลุงคนแรกชี้บอก แล้วพูดออกมาว่า “อาฟเตอร์ แฟมิลีมาร์ท เทิร์น เลฟต์” ผมต้องขอบคุณหนุ่มหน้ามนคนนี้เป็นการใหญ่ ถ้าไม่ได้เขาผมคงแย่ แต่จะว่าไปผมก็ควรจะเชื่อใจลุงคนแรกด้วย เพียงแต่ว่าลุงแกชี้มือไปเฉยๆ ผมก็คงต้องหาคนถามต่ออยู่ดี

เมื่อถึง Hostel Nakamura ก็พบว่าสาเหตุที่หลงเพราะตอนออกจากสถานีรถไฟผมออกผิดทาง ทำให้ผมไม่เชื่อคุณลุงคุมงานก่อสร้าง เพราะดูทิศทางแล้วไม่น่าจะใช่ เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี เพราะสถานีรถไฟบางสถานีมีทางออกหลายทาง ทั้งทางออกหลัก ทางออกรอง และทางออกย่อยต่างๆ ถ้าผมออกทางออกหลัก หรือMain Exit ก็แค่เดินตรงไปบนถนน แล้วเลี้ยวแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ระยะทางรวมไม่ถึง 500 เมตร

โฮสเทลแห่งนี้สะอาดสะอ้านน่าพัก คุ้มราคาประมาณ 1 พันบาท ห้องนอนรวมของผมอยู่บนชั้น 3 แยกห้องน้ำออกไปด้านนอก ส่วนห้องอาบน้ำก็แยกไปอีกที่ เช่นเดียวกับอ่างล้างหน้าก็แยกไปต่างหาก

เวลาโพล้เพล้ที่ท่าเรือโกเบแสงสีน่าจะสวยงามน่ามอง แต่ฝนได้เทลงมาอย่างหนักเมื่อตอนที่ผมกำลังจะเดินออกไป จึงทำได้แค่ยืมร่มของโฮสเทลออกไปซื้อไก่ทอดและเบียร์กิรินที่ร้านสะดวกซื้อแล้วกลับมานั่งฆ่าเวลาในห้องครัว

หอคอยท่าเรือโกเบ หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองโกเบ

ห้องนั่งเล่นที่อยู่ใกล้ๆ กันมีป้ายชื่อร้านอาหารแนะนำในละแวกใกล้ๆ โฮสเทล โดยมีแผนที่กำกับไว้ด้วย เมื่อเห็นว่าสายฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดก็เลยเลือกร้านที่ใกล้ที่สุด เป็นร้านเล็กๆ ที่หัวมุมถนนถัดไป กางร่มเดินไปแค่ประมาณ 2 นาที

คนที่มาเที่ยวเมืองโกเบก็คงจะกินเนื้อโกเบกันทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่าเป็นคนไม่กินเนื้อวัว ผมเองนั้นเคยหยุดกินเนื้อวัวไปราว 4 ปี แล้วดันหลงกลไปนั่งในร้านโคขุนกับเพื่อนๆ หลังเล่นกีฬา เพราะเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นก็มี ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลย เพราะขนาดพระสงฆ์แก่พรรษาถูกสีกาไปจ้องหน้าทุกวันยังสึกมาแล้วหลายรูป แล้วคนหิวนั่งหน้าเตาโคขุนอย่างผมจะเหลืออะไร

เนื้อโกเบที่เมืองไทยนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อของราคามากกว่ารสชาติเสียอีก แต่ที่นี่รสชาติดีและราคาไม่แพง ผมเป็นคนกินน้อยและไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมากๆ จึงเข้าทางเป็นอย่างยิ่งเพราะร้านนี้มีเนื้อชิ้นเล็ก น่าจะขนาด 100 กรัม (หรือน้อยกว่า) เชฟเอาไปย่างบนเปลวไฟไม่นานก็เอามาหั่นวางใส่จาน เนื้อนุ่มละลายในปาก อร่อยจนจำราคามาบอกท่านผู้อ่านไม่ได้ แต่คิดว่าชิ้นละประมาณ 3 พันเยนนิดๆ หรือประมาณ 1 พันบาทเท่านั้น กินกับเบียร์ฮาร์ทแลนด์ (ของบริษัทกิริน) เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก่อนนี้มีความเชื่อฝังหัวว่าเนื้อวัวต้องจับคู่กับไวน์แดงเท่านั้น

เชฟและผู้ช่วยสาวของเขาอัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม บริการเยี่ยม ผมจึงสั่งฮาร์ทแลนด์มาอีกแก้ว คราวนี้กินกับแซลมอนโรล และเครื่องเคียงอย่างผัดเห็ดและผัดผักก็ยังถือว่าใช้ได้อยู่

ในร้านตอนนี้ไม่มีลูกค้าอื่นนอกจากผม เชฟจึงคว้ามือถือออกมาพิมพ์ลงในแอปแปลภาษาแล้วยื่นให้อ่าน แต่สุดท้ายก็คุยด้วยความเมื่อยมือกันไปทั้งสองฝ่าย เขาบอกว่ามีคนไทยมากินก่อนผมเมื่อสักครู่นี้เอง ตัวใหญ่ๆ ใส่กางเกงขาสั้น

บัสเขียวเที่ยวรอบเมืองและอาคารสไตล์ยุโรปติดกับสถานีรถไฟใต้ดินมินาโมโตะมาชิ

พอเห็นว่ามีลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามานั่งผมก็เลยเรียกเก็บเงินแล้วเดินออกจากร้าน ผู้ช่วยสาวเดินออกมาส่งและกล่าวลาอย่างน่ารักและน่ากลับมาใหม่

พอกลับถึงโฮสเทลก็พบคนไทยคนหนึ่ง ตัวใหญ่ ใส่กางเกงขาสั้น ใช่เขาแน่นอนที่เพิ่งไปกินร้านเดียวกันมา ได้คุยกันพอหอมปากหอมคอก็ได้ความว่าเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน ไม่เปิดสัญญาณโทรศัพท์แบบโรมมิ่ง และไม่ซื้อซิมการ์ดของญี่ปุ่น ใช้วิธีการแคปหน้าจอแผนที่ตอนที่โทรศัพท์มีสัญญาณ Wi-fi แล้วเดินหาเป้าหมายเอาตามแผนที่นั้น

“ครั้งที่แล้วผมมากับแฟน กลับไปเลิกกันเลยครับ เขาติดอินเตอร์เน็ต ติดการวางแผน ติดต่อเพื่อนที่เมืองไทยตลอดเวลา เรามากันแค่ไม่กี่วันเอง ผมว่าเราควรใส่ใจสถานที่และผู้คนที่นี่มากกว่า”

เรื่องแบบนี้แนวใครแนวมัน ผมนั้นเห็นด้วยเต็มที่ ถ้าใครไม่มีปัญหาเรื่องกินข้าวคนเดียวในประเทศที่อาหารอร่อย ก็อยากแนะนำให้ลองเที่ยวคนเดียวดูครับ โดยเฉพาะถ้ายังหนุ่มสาวกันอยู่

บนห้องนอนรวม ผมเจอลุงคนหนึ่งมาจากเกาหลีใต้นอนเตียงใกล้กัน แกดูเป็นมิตร ชอบชวนคุย ตอนผมหยิบวิสกี้ Sun Peace ที่ฮิโรกิให้มาลงไปนั่งจิบพร้อมกับเขียนต้นฉบับ “เบื้องหน้าที่ปรากฏ” ส่งกลับมายังเมืองไทย ลุงเกาหลีแกก็ตามลงไปคุยด้วย ผมรินวิสกี้ใส่แก้วอีกใบ แกก็ให้เกียรติรับไปดื่ม

“เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางโดยไม่มีเมียมาด้วย ผมอยากจะรู้ว่ามันเป็นยังไง” คุณลุงปรารภ

“แล้วมันเป็นยังไงครับ” ผมอยากรู้

“ผมเพิ่งมาถึงวันนี้เอง ยังตอบไม่ได้ อ๋อ และก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมพักโฮสเทล เพราะตอนมากับเมียนอนโรงแรมเท่านั้น”

เห็นได้ชัดว่าลุงอยากมีเพื่อน คนที่พักโฮสเทลและเกสต์เฮาส์นั้นนอกจากราคาถูกแล้วอีกเหตุผลหนึ่งก็คืออยากพบเจอผู้คนแปลกหน้าแปลกภาษา ผมเคยเจอผู้อาวุโสหลายคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณแต่นิยมพักตามโฮสเทลและเกสต์เฮาส์ เพราะมันมีพลังงานของความหนุ่มสาวแฝงอยู่ หากจะดูวุ่นวายก็เป็นความวุ่นวายที่มีเสน่ห์ อีกทั้งจะพูดคุยกับใครก็ดูไม่เป็นการรบกวน หรือพูดอีกอย่างว่าไม่ต้องเกรงใจกันมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ต้องการเพื่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันทั้งนั้น

 ปราสาทฮิเมจิ มองจากหน้าสถานีรถไฟฮิเมจิ​​​​​​​

ลุงคนนี้แกอยู่อาศัยในกรุงโซล พอรู้ว่าผมเป็นคนไทยแกก็เล่าให้ฟังว่าได้ช่วยคนไทยที่เป็นเอเยนต์หาคนไปทำศัลยกรรมที่สถานความงามในเกาหลีใต้มาแล้วหลายครั้งด้วยการรับรองเอกสารการทำงานให้กับนายหน้าเหล่านี้

หมดวิสกี้แก้วที่ผมรินให้ลุงก็ชวนไปกินมื้อค่ำ ผมบอกว่ากินไปแล้ว และแนะนำถึงร้านที่เพิ่งไปกินมา แกก็ยังชวนให้ออกไปกินด้วยกัน พอผมยืนยันว่า“ขออภัยครับ ผมคงไม่ไป” ลุงก็บอกว่า “คุณควรไปกับผม”

ที่จริงผมควรจะไปนั่งเป็นเพื่อน ดื่มเบียร์ตอนลุงแกกินเนื้อโกเบก็ได้ แต่ผมก็จำเป็นต้องทำงานจริงๆ เพียงแต่ว่าลืมอธิบายเหตุผลที่ไม่ไป แถมยังแสดงอาการสนใจลุงน้อยไปอีกต่างหากเพราะนิ้วมือทั้งสิบมัวแต่วางอยู่บนแป้นพิมพ์ตลอดเวลา

จนกระทั่งลุงกลับมาจากกินมื้อค่ำ เข้านอน ผมเข้านอนทีหลัง ลุงตื่นนอนก่อน และเช็กเอาต์ออกไป โดยที่ไม่ได้คุยกันอีกเลย

แกยังจะช่วยเหลือเอเยนต์ชาวไทยที่หาคนไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีอยู่อีกมั้ยนะ เมื่อเจอคนไทยเสียมารยาทอย่างผมเข้าไป

หลังจากเช็กเอาต์ตอนสายๆ ฝากกระเป๋าไว้กับโฮสเทล แวะซื้อไก่ทอดและกาแฟจากร้านสะดวกซื้อ แล้วก็เดินไปนั่งเติมพลังที่สวนสาธารณะเล็กๆ ริมทะเล ใกล้ๆ อู่ต่อเรือ แล้วเดินอีกนิดไปยัง “โกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์” ศูนย์รวมแหล่งช็อปปิ้งและบันเทิงใกล้ท่าเรือโกเบ

ลานชมวิวที่ติดกับ Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall มีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่สีแดงตั้งอยู่ มองเห็นหอคอยท่าเรือโกเบสีแดงเด่นอยู่ทางด้านซ้ายมือ และโรงแรมเมริเค็น ปาร์ค โอเรนทัล ที่สร้างยื่นออกไปในอ่าว ไกลออกไปแต่ยังมองเห็นได้ชัดคือ “สะพานโกเบเกรตบริดจ์” ตรงกลางสะพานมีรูปทรงโค้งมนสีแดง ดูเหมือนว่าอะไรหลายๆ อย่างของที่นี่จะนิยมทาด้วยสีแดง สะพานนี้เชื่อมกับเกาะท่าเรือ (Port Island) และเกาะท่าเรือนี้ก็เชื่อมกับอีกเกาะที่เป็นที่ตั้งของสนามบินโกเบ

คูน้ำรอบปราสาทฮิเมจิ​​​​​​​

คำนวณเวลาแล้วผมควรเดินทางต่อเสียที จึงเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน Minamotomachi ไปยังสถานี Sannomiya-Hanadokeimae เดินต่อไปยังสถานี JR Sannomiya เพื่อแลกเจอาร์พาสเป็นตั๋ว ระบุไปว่าจะเริ่มใช้ในวันนี้ จะเห็นได้ว่าสถานี Sannomiya (ซานโนมิยะ) ดูจะมีความสำคัญกว่าสถานีโกเบ นั่นก็เพราะซานโนมิยะคือชื่อของเขตที่ใหญ่ที่สุดในย่านใจกลางเมือง มาจากชื่อศาลเจ้าซานโนมิยะ ซึ่งเป็นสาขาของศาลเจ้าอิคึตะที่มีความเก่าแก่ย้อนไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก อย่างไรก็ตามยังมีสถานีชื่อ Kobe-Sannomiya ตั้งอยู่ติดๆ กัน ซึ่งเป็นของบริษัทรถไฟท้องถิ่น ยอมรับว่าเมืองใหญ่อันดับ 6 ของญี่ปุ่นแห่งนี้ทำให้สับสนเรื่องชื่อสถานีรถไฟได้มากทีเดียว

หลังมื้อเที่ยงเนื้อย่างกระทะร้อนที่ร้านใกล้ๆ สถานีซานโนมิยะ ผมก็ได้ขึ้นรถไฟของบริษัทเจอาร์ ประเดิมตั๋วเจอาร์พาสชนิด 7 วัน ไปทางทิศตะวันตก เห็นสะพานอากาชิไคเกียวอยู่ทางซ้ายมือ สะพานนี้ถือเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ยาว 1,991 เมตร เชื่อมเมืองโกเบกับเกาะอาวาจิ (จากนั้นเกาะอาวาจิก็จะเชื่อมกับเกาะใหญ่ชิโกกุ)

ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ก็ถึงสถานีฮิเมจิ (Himeji) เมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ พอเดินออกจากสถานีฮิเมจิก็เห็นปราสาทฮิเมจิขาวเด่นอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีถนนแบบอเวนิวทอดตรงไปยังปราสาท บางคนนั่งรถเมล์ บ้างก็แท็กซี่ แต่ผมเลือกเดินตามถนัด

เมื่อถึงปราสาทก็ใกล้เวลาปิด (สี่โมงครึ่ง) เต็มที ไม่ได้เข้าไปภายในเหมือนเคย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"