ความเป็นไทยภายใต้สถานการณ์โควิด


เพิ่มเพื่อน    

ฮื่ออ์อ์อ์...ถึงขั้นต้อง เท็มเพิล ไอโซเลชัน กันแล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะ โฮม ไอโซเลชัน โดยลำพังโดดๆ คือถึงขั้น พระ ท่านต้องตัดสินใจ ถลกจีวร ลงมาบริหาร-จัดการ เตียงสนาม รับผู้ป่วย ค้นหาผู้ป่วยจากเชื้อโควิด ที่ชักปาเข้าไปวันละหมื่น-สองหมื่น ป่าวประกาศว่า พระไม่ทิ้งโยม แทนที่จะสวดมนต์ ภาวนา กันไปตามเรื่อง ตามราว...
                                                       -------------------------------------------
    ฟังจากข่าว เอ็กไซท์-ไทยโพสต์ ฉบับวันวานเขานั่นแหละ...ที่หยิบเอาเรื่องพระวัดสุทธิวราราม ในเขตศูนย์กลางเชื้อโควิด หรือใน กทม.ของหมู่เฮานี่เอง ท่านตัดสินใจดัดแปลงศูนย์สถานที่ อาคาร การเรียนรู้พระพุทธศาสนาและการพัฒนาสังคม ตึกขนาด 3 ชั้นภายในวัดสุทธิฯ ให้กลายเป็นศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดไปพลางๆ โดยระดมพระ ระดมบรรดาผู้มีใจบุญ ใจกุศล มาช่วยเหลือ ดูแล ผู้ป่วย แถมยังอาสาออกไปตรวจเช็ก ไปค้นหาผู้ป่วยตามบ้านที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เอามารักษา หรือเอามาแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อ แบบชนิดปฏิบัติการเชิงรุกซะอีกต่างหาก...
                                                                       -----------------------------------------------
    อันนี้นี่แหละ...ที่ฟังแล้วปลื้มม์ม์ม์ ฟังแล้วเกิดอาการคึกๆ คักๆ ยิ่งกว่านักกีฬาไทยไปกวาดเหรียญทอง เหรียญเงินโอลิมปิกไม่ว่าจะกี่เหรียญต่อกี่เหรียญก็ตาม คือความห่วงหาอาทร ความรู้สึกห่วงใย รู้สึกปรารถนาดีต่อผู้อื่น ความเมตตา ปรานี อะไรต่อมิอะไรต่างๆ ทำนองนี้ อันอาจถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของ ความเป็นไทย ที่มีมาแต่ดั้งเดิม และยังคงไม่ถึงกับสูญหาย คลายจาง ไปซะทั้งหมด ไม่ว่าในหมู่ พระ หรือหมู่ ปุถุชนคนธรรมดา ก็แล้วแต่ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ต้องถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ราคา ชนิดเอาอะไรมาแลกก็ไม่น่าจะยอม อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่น่าปกป้อง หวงแหน น่าดำรง รักษา และฟื้นฟูให้คงอยู่ควบคู่กับประเทศไทย สังคมไทย ไปอีกตราบนานเท่านาน...
                                                        -----------------------------------------------
    เพราะด้วยสิ่งที่ว่านี้นี่แหละ...ที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ไม่ต่างไปจากป้อมปราการ ที่จะสามารถรับมือ ต่อสู้และเอาชนะ ต่อสิ่งใดๆ หรือ ปัญหา ใดๆ ก็ย่อมได้ แม้แต่เชื้อโรคที่น่าเกลียด น่ากลัว อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าสายพันธุ์เก่า สายพันธุ์ใหม่ก็เถอะ ลองถ้าเจอกับ น้ำใจคนไทย ไม่ว่าแบบครั้งสึนามิที่ภูเก็ต ครั้ง หมูป่าติดถ้ำ หรือครั้งที่คุณน้อง ตูน บอดี้สแลม ออกวิ่งตั้งแต่เหนือจรดใต้ โดยไม่คิดจะแยกฝ่าย ไม่คิดจะแบ่งฝัก-แบ่งฝ่ายกับใคร ฯลฯ อันนั้นนั่นเอง...ที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า ความเป็นไทย หรือ น้ำใจคนไทย เป็นอะไรที่ระเบิดเถิดเทิง จนฝรั่งมังค่าถือเป็น ความมหัศจรรย์ ชนิดหนึ่งเอาเลยถึงขั้นนั้น...
                                                             ------------------------------------------------
    สิ่งที่ว่านี้...จึงเป็นสิ่งที่ควรจะปกป้อง หวงแหน ไม่ปล่อยให้อะไรก็ตามแต่ แม้แต่ความหูแหก-ตาแหกจากเชื้อไวรัสโควิด มาทำให้ต้องลดทอน ลดราคา ลดคุณค่า ลงไปได้ง่ายๆ ต้องหาทางฟื้นฟู บูรณะ ให้กลับมามีชีวิต ชีวา ให้คึกคัก เข้มแข็ง โดยเฉพาะภายใต้ วิกฤติ ต่างๆ ที่จะกลายเป็นตัวขับเน้น คุณลักษณะพิเศษเหล่านี้กันเป็นคราวๆ ไป คือยิ่งเจ็บเท่าไหร่ ปวดเท่าไหร่ ลำบาก ยากเข็ญ เลือดตาแทบกระเด็นยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้อง พัวพัน กับ รัฐบาล หรือ ผู้มีอำนาจ รายหนึ่ง รายใด ระดับหนึ่ง ระดับใด เอาเลยก็เป็นได้ แค่อาศัยอารมณ์-ความรู้สึกดั้งเดิม ที่ถูกถักทอ บูรณาการ มาจากวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมทางสังคม หรือความเชื่อใดๆ ก็แล้วแต่ ที่ทำให้เกิดความรัก ความปรารถนาดี ต่อผู้อื่นเป็นเบื้องต้น ความเป็นไทย หรือ น้ำใจไมตรี ของคนไทย ก็น่าจะพอรับมือ พอที่จะเอาชนะ ปัญหาแต่ละปัญหา เหมือนอย่างที่เคยเอาชนะมาก่อนหน้านั้นแล้ว...
                                                                           --------------------------------------------------
    ยิ่งต้องมาเจอกับปัญหาที่แก้ยาก แก้เย็น อย่างปัญหาการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ที่เป็นไปด้วยกันทั้งโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศไทย สังคมไทยเท่านั้น อันส่งผลให้ รัฐบาล แต่ละรัฐบาล ไม่ว่าประเทศไหน สังคมไหน ก็เถอะ ต่างแทบ ไปไม่เป็น ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าจะ กลัวอดตาย หรือ กลัวป่วยตาย มากกว่ากันดี ไม่รู้ว่าจะหาจุดสมดุลระหว่างจำนวนคนป่วย คนตาย กับระบบสาธารณสุข ให้มันสอดคล้อง ต้องกัน ไปโดยตลอด ได้ด้วยวิธีไหน และอะไรต่อมิอะไรที่จะตามมาอีกเยอะแยะมากมาย อันนี้นี่แหละ...ที่คงแทบไม่ต้องไปมองหารัฐบาล มองหาผู้ที่ซึ่งจะพึ่งพา ให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่น่าจะลองหันมามองหาสิ่งดีๆ ภายในตัวของตัวเอง สิ่งที่เคยถูกถักทอ บูรณาการ จนกลายมาเป็น ความเป็นไทย ที่ทำให้ประเทศชาติ บ้านเมือง รอดพ้นปากเหยี่ยว ปากกา มาครั้งแล้ว ครั้งเล่า...
    -----------------------------------------------------------------------------
    ในเมื่อ โยม ไม่เคยคิดจะ ทิ้งพระ มาโดยตลอด...มาถึงวันนี้พระท่านก็เลยไม่คิดจะทิ้งโยม ถลกจีวรดาหน้าออกกันมาเป็นสายๆ นั่นยังไม่รวมถึงบรรดา ผู้ปิดทองหลังพระ อีกไม่รู้กี่กลุ่ม กี่ฝ่าย ที่ไม่คิดจะแยกฝ่ายเพียงแค่เพราะความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชัง ต่อผู้ที่อยู่ในฝ่ายตรงข้ามใดๆ ก็ตาม แต่พร้อมที่จะอดทน อดกลั้น พร้อมที่จะฟื้นฟูอารมณ์-ความรู้สึกในทางที่เป็นบวก ไม่ว่าตัวเองหรือใครๆ ก็ตาม พร้อมนำเอาความรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ฯลฯ มาถักทอ บูรณาการ ให้ ความเป็นไทย กลับมา เกรต อะเกน อันนี้นี่แหละ...เอาไปเลยเหรียญทองเป็นเข่งๆ เอากระสอบมาขนกันไปได้เลย...
                                             -------------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Anon... “As gold is tried by fire, so a heart must be tried by pain.- ทองแท้พิสูจน์ได้ด้วยไฟฉันใด หัวใจที่เข้มแข็งก็พิสูจน์ได้ด้วยความปวดร้าว ฉันนั้น...”
                                                      ------------------------------------------------------------------------
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"