โดรนสหรัฐสังหารเหี้ยมผู้บริสุทธิ์


เพิ่มเพื่อน    

แดเนียล เฮล อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐผู้เปิดเผยปฏิบัติการโดรนสังหารที่คร่าชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์มากกว่า 2 พันคน

-----------------------

          สิงหาคม เมื่อ 7 ปีก่อน “Daniel Everett Hale” ถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง หรือ FBI บุกค้นบ้านในเมืองลอร์ตัน มลรัฐเวอร์จิเนีย อีก 5 ปีต่อมาเขาถูกตั้งข้อหาทำผิดกฎหมายจารกรรม (Espionage Act of 1917) จากการเปิดเผยข้อมูลลับปฏิบัติการโดรนสังหารของสหรัฐในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายว่าทำให้พลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

            แดเนียล เฮล เกิดเมื่อปี 1988 สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอากาศตั้งแต่ปี 2009 ก่อนถ่ายโอนไปยัง “สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ NSA และได้เข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐในอัฟกานิสถาน ทำหน้าที่วิเคราะห์และชี้เป้าให้กับปฏิบัติการอากาศยานไร้คนขับ หรือ “โดรนสังหาร” เขาลาออกในต้นปี 2014 และทำงานกับบริษัทเอกชนที่รับงานจากฝ่ายความมั่นคงสหรัฐอีกทอดหนึ่ง และแล้วความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็สั่งให้เขาขโมยข้อมูลลับออกมาแฉ

            สำนักข่าว Intercept เป็นผู้ได้รับเอกสารลับ 17 ชิ้น ตีพิมพ์รายงานในชุด Drone Papers ช่วงปลายปี 2015 เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ “รายชื่อต้องฆ่า” ของสหรัฐ และเหตุการณ์พลเรือนที่เสียชีวิตจากการโจมตีโดยโดรนพิฆาต

            เฮลถูกฟ้องเมื่อ 2 ปีก่อนในข้อหาเปิดเผยข้อมูลลับ-ข้อมูลทางกลาโหมของชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และขโมยทรัพย์สินของรัฐบาล เอกสารเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเลือกโจมตีเป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐโดยใช้อากาศยานไร้คนขับ และเป็นข้อมูลที่แสดงว่าผู้ที่ไม่ใช่เป้าหมายแต่กลับถูกสังหารมีบ่อยแค่ไหน

            สำนักข่าว Intercept โดยบรรณาธิการใหญ่ “เบตซี รีด” กล่าวก่อนหน้านี้ว่าเอกสารลับที่ได้รับมาเป็นรายละเอียดการล็อกเป้าและสังหารผู้คนทั่วโลก แม้แต่พลเรือนสหรัฐเอง เอกสารนี้มีความสำคัญต่อสาธารณะอย่างยิ่งยวด และสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาต้องได้รับการปกป้องจากรัฐธรรมนูญสหรัฐฉบับแก้ไขครั้งแรก

            อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคมที่ผ่านมา “เฮล” ได้ยอมรับสารภาพต่อศาล และไม่กี่วันก่อนการอ่านคำพิพากษา เขาได้เขียนจดหมายถึงศาลจำนวน 11 หน้ากระดาษ มีรายละเอียดปฏิบัติการโดรนทิ้งระเบิดสังหารในประเทศอัฟกานิสถาน เยเมน และโซมาเลีย

            ครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม ปี 2012 โต๊ะอิหม่ามของหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเยเมนซึ่งประกาศตัวต่อต้านกลุ่มผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ โต๊ะอิหม่ามและญาติอีกคนผู้เป็นตำรวจกำลังเผชิญหน้ากับชาย 3 คนที่ต้องสงสัยว่าเป็นกองกำลังอัลกออิดะห์ โดรนที่ถูกควบคุมกดปุ่มจากฐานทัพอากาศสหรัฐในบาแกรม ใกล้กรุงคาบูล เมืองหลวงอัฟกานิสถาน ห่างออกไปหลายพันไมล์ ยิงระเบิดลงไป 3 ลูกตายเรียบทั้งผู้ต้องสงสัยและผู้บริสุทธิ์ เฮลและเพื่อนร่วมงานนั่งดูปฏิบัติการระยะไกลจากจอภาพ ทุกคนปรบมือและโห่ร้องให้กับความสำเร็จ

            อีกเหตุการณ์ที่เฮลไม่ได้ระบุช่วงเวลา เขาบอกว่ากองกำลังทางอากาศของสหรัฐได้ติดตามความเคลื่อนไหวผู้ต้องสงสัยกลุ่มหนึ่งที่อาจประกอบรถยนต์ให้กลายเป็นคาร์บอมบ์ในเขตจาลาลาบัด เย็นวันหนึ่งท้องฟ้ามีเมฆมากและลมพัดแรง รถต้องสงสัยกำลังวิ่งด้วยความเร็วไปทางทิศตะวันออก ผู้บังคับบัญชาของเขาเชื่อว่ารถคันนี้กำลังจะหนีเข้าปากีสถาน สั่งโดรนยิงจรวด แต่เมฆและลมทำให้ระเบิดพลาดเป้าไป 2-3 เมตร

                “รถคันนั้นจอด ผู้ชายคนหนึ่งเดินลงจากรถ ตามมาด้วยภรรยา พวกเขาดูที่เบาะหลังของรถ ต่อมาเราทราบว่ามีเด็กหญิง 2 คนอยู่ในนั้น คนหนึ่ง 3 ขวบ อีกคน 5 ขวบ เป็นพี่น้องกัน ทหารอัฟกันถูกส่งไปตรวจสอบเหตุการณ์ในวันต่อมา พวกเขาพบเด็กหญิงทั้งคู่อยู่ในกองขยะใกล้ๆ จุดที่รถจอด 1 วันก่อน คนโตเสียชีวิตจากบาดแผลที่ได้รับจากสะเก็ดระเบิด คนน้องยังไม่ตายแต่ร่างกายกำลังขาดน้ำอย่างรุนแรง

                “เมื่อผู้บังคับบัญชาสตรีเล่าเหตุการณ์ให้พวกเราฟัง เธอเหมือนจะแสดงความรังเกียจต่อพ่อแม่เด็กที่ทิ้งลูกไว้แล้วมุ่งหน้าชายแดนปากีสถานเพราะคิดว่าการมีศพเด็กในรถคงข้ามไปยังปากีสถานได้ยาก เธอไม่ได้เสียใจกับความผิดพลาดของการโจมตีที่ทำให้เด็กตายด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ยังมีคนคิดว่าการใช้โดรนสังหารนั้นถูกต้องแล้ว และมันทำให้อเมริกาปลอดภัย ผมถามตัวเองว่าจะเชื่อตัวเองต่อไปได้อย่างไรว่าผมเป็นคนดี ควรได้รับชีวิตดีๆ และมีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความสุข”

            ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพลเรือนทั่วโลกที่กองทัพสหรัฐเข้าไปมีปฏิบัติการทางทหาร “บารัค โอบามา” ประธานาธิบดีสหรัฐได้กล่าวในปี 2013 ว่าการโจมตีด้วยโดรนของสหรัฐต้องมีมาตรฐานสูงในระดับความแม่นยำสูงสุด และต้องไม่มีพลเรือนอยู่ในบริเวณเป้าโจมตี เฮลเขียนถึงสิ่งนี้ว่า “แต่เท่าที่ผมรู้ พลเรือนที่อาจปรากฏในบริเวณเป้าโจมตีและถูกโดรนฆ่าตายมักจะถูกระบุว่าเป็นศัตรูเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการ เว้นแต่จะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น”

            เฮลยังเขียนถึง “สภาวะสงครามที่สร้างกำไร” ด้วยว่าหลักฐานปรากฏให้เห็นรายรอบ ในยุคที่เทคโนโลยีอาวุธก้าวหน้าที่สุด ในสงครามของอเมริกาที่ยาวนานที่สุด ทหารรับจ้างเพิ่มจำนวนจนมีมากกว่าทหารในเครื่องแบบไปแล้วราว 2 เท่า และพวกเขาได้รับค่าจ้างมากกว่าถึง 10 เท่า แต่พอเห็นชาวนาอัฟกันถูกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ แล้วยังมีเวลากอบอวัยวะภายในที่กระจายออกกลับเข้าท้องก่อนตาย หรือทหารอเมริกันในโลงที่คลุมด้วยธงชาติระหว่างทำพิธีพร้อมปืนยิงสลุต ศพของทั้ง 2 ฝ่ายรับใช้สนองตอบต่อการไหลบ่าของงบประมาณสู่สนามรบ เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกหดหู่และละอายใจเหลือเกินที่ตัวเองเคยสนับสนุนการทำบาปที่ผ่านมา

                “ในปฏิบัติการของโดรนสังหาร บางครั้งจำนวน 9 ใน 10 คนที่ถูกฆ่าคือผู้บริสุทธิ์ คุณต้องฆ่าความสำนึกต่อบาปของคุณเสียก่อนเพื่อจะได้ฆ่าผู้อื่น” และเขียนในตอนท้ายจดหมายว่า “ผมเชื่อว่าเป็นสิ่งผิดที่เราฆ่าผู้อื่น และยิ่งผิดมหันต์หากเราฆ่าคนที่ไม่มีทางป้องกันตัว”

            แฮรี คูเปอร์ อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ หรือ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสารลับและวัตถุสำคัญ หลังทบทวนตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดแล้วก็ได้แถลงต่อศาลว่า เอกสารบางชิ้นถือเป็นข้อมูลทางการป้องกันภัยระดับชาติ ทว่าการเปิดเผยเอกสารเหล่านี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อสหรัฐหรือต่อความมั่นคงของประเทศ

            อดีตซีไอเอผู้นี้ยังตอบคำถามของรัฐบาลที่ว่ากลุ่มรัฐอิสลามได้ข้อมูลลับและได้รับประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นว่า “ไม่น่าจะจริง กลุ่มผู้ก่อการร้ายจะไม่ได้เปรียบในทางกลยุทธ์การรบแต่อย่างใด”

            ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายหลายคนที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคำฟ้อง ฝ่ายที่เห็นด้วยบอกว่าการเปิดเผยของเฮลไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อระบบบริการสาธารณะ แต่อีกฝ่ายมองว่าการที่สังคมรับทราบถึงปฏิบัติการอันตรายที่รัฐบาลพยายามปกปิดมานานมีความสำคัญยิ่ง

            ปริยันคา โมตาพาร์ที ผู้อำนวยการโครงการต่อต้านการก่อการร้าย ความขัดแย้งทางด้านอาวุธ และสิทธิมนุษยชน ของ Columbia Law School กล่าวว่า การเปิดเผยทำให้สังคมอเมริกันได้รับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปฏิบัติการฆ่าด้วยโดรนที่ชัดเจนว่าไร้ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ อีกทั้งยังได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตพลเรือนอย่างกว้างขวางที่ถูกกระทำในนามความมั่นคงของชาติ

                “มันทำให้เราทราบถึงผลกระทบและหายนะของปฏิบัติการ โดยเฉพาะจำนวนชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ยังคลุมเครือและถูกปิดบัง”

            และเนื่องจากว่ารัฐบาลสหรัฐพยายามปกปิดยอดผู้เสียชีวิตไว้อย่างมิดชิด แต่สื่อมวลชนเชิงสืบสวนสอบสวนและกลุ่มเฝ้าระวังก็ได้ทำการศึกษาอย่างแข็งขันเช่นกัน สำนักสื่อมวลชนเชิงสืบสวนสอบสวนสหราชอาณาจักร” หรือ TBIJ ได้คำนวณและประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการโดรนสังหารและปฏิบัติการลับอื่นๆ ในปากีสถาน, อัฟกานิสถาน, เยเมน และโซมาเลย นับตั้งแต่การโจมตีเริ่มขึ้นในปี 2004 อยู่ที่ 8,858 คน ถึง 16,901 คน

            ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ประมาณ 2,200 คนเป็นพลเรือน หลายร้อยเป็นเยาวชน และยังมีพลเมืองสหรัฐรวมอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือเด็กชายอายุ 16 ปี อย่างไรก็ตาม จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตตามการประเมินนี้ยังน้อยกว่าความเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะจดหมายของเฮลที่ส่งถึงศาลระบุชัดเจนว่าผู้ที่ถูกสังหารด้วยโดรนสหรัฐนั้นทั้งหมดถูกนับเป็นศัตรูที่ถูกสังหารในปฏิบัติการ ยกเว้นว่าจะได้รับการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น

            ในการปรากฏตัวต่อศาลที่เมืองอเล็กซานเดรีย มลรัฐเวอร์จิเนีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เฮลได้กล่าวต่อผู้พิพากษาว่า เขาจำเป็นต้องกำจัดความเท็จที่ว่าสงครามโดรนทำให้อเมริกาปลอดภัย และความเท็จที่ว่าชีวิตของอเมริกันมีค่ามากกว่าพวกอื่น

                “ผมมาที่นี่เพราะได้ขโมยบางสิ่งที่ไม่เคยเป็นของผม สิ่งนั้นคือชีวิตอันแสนมีค่าของเพื่อนมนุษย์ ผมคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ โลกที่ผู้คนเสแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่โน่น ได้โปรดเถอะใต้เท้า โปรดให้อภัยที่ผมขโมยเอกสารเหล่านั้นมา แทนที่จะเป็นชีวิตเพื่อนมนุษย์”

            อัยการขอให้ศาลตัดสินลงโทษสถานหนักเป็นเวลาสูงสุด 11 ปี ศาลได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมว่าเฮลมีความผิดใน 1 ข้อหา ให้จำคุก 45 เดือน หรือเกือบๆ 4 ปี ศาลให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการป้องปรามมิให้บุคคลอื่นเอาเยี่ยงอย่างในการเปิดเผยความลับของรัฐบาล มีอีก 4 ข้อหาที่ศาลยกฟ้อง

            ผู้พิพากษา “เลียม โอ’เกรดี” กล่าวกับเฮลว่า “จำเลยไม่ได้ถูกลงโทษเพราะเปิดเผยเรื่องปฏิบัติการโดรนที่สังหารชีวิตคนบริสุทธิ์ แต่เพราะได้ขโมยทรัพย์สินของทางราชการ จำเลยสามารถเป็นผู้บอกความจริงได้โดยไม่ต้องขโมยเอกสารเหล่านั้น”

            ผู้สนับสนุนเฮลออกแถลงการณ์ระบุตอนหนึ่งว่า “ทุกคนเห็นพ้องว่าแดเนียล เฮล ไม่ใช่สายลับ เขาคือบุรุษผู้มีเกียรติที่สมควรยกย่อง แต่กลับถูกลงโทษเพียงเพราะกระทำในสิ่งที่มโนธรรมเรียกร้องด้วยการพูดความจริง”

            ด้านบรรณาธิการใหญ่ The Intercept ก็มีแถลงการณ์หลังทราบคำพิพากษาว่า “แดเนียล เฮล ต้องใช้ชีวิตในเรือนจำเพราะเผยแพร่เอกสารที่รัฐบาลอ้างว่าตีพิมพ์โดย The Intercept เอกสารเหล่านี้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับความลับของรัฐบาลสหรัฐ สงครามโดรนสังหาร และการฆ่าพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายและในขอบข่ายกว้างขวางกว่าที่สังคมเคยรับรู้กัน The Intercept จะไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับแหล่งข่าวของเรา แต่ใครก็ตามที่นำความมืดดำสู่แสงสว่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาผู้นั้นได้ทำหน้าที่ต่อสังคมอย่างน่าสรรเสริญ

                “เฮลยังถูกตั้งข้อหาการเปิดเผยเอกสารลับ Rule Book เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การใช้ระบบยุติธรรมแนวขนาน (นอกระบบ) ต่อผู้คนที่น่าจับตามอง หรือ Watch List และยังจัดกลุ่มคนเหล่านี้ให้เป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดยไม่ผ่านการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ตามกฎเกณฑ์นี้ผู้คนแม้แต่ชาวสหรัฐเอง สามารถถูกขัดขวางการเดินทาง กักตัวในสนามบิน และตามชายแดนโดยยังถูกปฏิเสธสิทธิ์ในการเรียกร้องต่อรัฐบาล การเปิดเผย Watchlisting Rule Book นำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายและชัยชนะในศาลหลายคดีสำหรับการปกป้องสิทธิเสรีภาพของพลเมือง

                “การตัดสินจำคุกในวันนี้ ศาลได้ปฏิเสธคำขอของอัยการที่ให้พิจารณาลงโทษสถานหนัก อย่างไรก็ตาม การขังเฮลในเรือนจำก็ยังถือเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรม อีกหนึ่งตัวอย่างที่รัฐบาลใช้กฎหมายในการลงโทษแหล่งข่าวของสื่อมวลชนในฐานเป็นผู้จารกรรมข้อมูล เป็นการกระทำที่ทำลายสิทธิมนุษยชน เสรีภาพสื่อมวลชน และประชาธิปไตย”

            ทั้งนี้ สำนักข่าว The Intercept ก่อตั้งขึ้นโดยองค์กรสื่อที่ไม่แสวงหาผลกำไรชื่อ First Look Media ในปี 2014 ได้รับเงินทุนจาก “ปิแอร์ โอมิดดียาร์” เจ้าของอีเบย์ เริ่มต้นการเผยแพร่เรื่องลับโลกตะลึงของ “เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน” อดีตที่ปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่เปิดเผยข้อมูลการสอดส่องล้วงความลับของผู้คนทั่วโลกโดยสหรัฐ สโนว์เดนหลบหนีการจับกุมของทางการสหรัฐได้ทันเวลา ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ในรัสเซียในฐานะพลเมืองหมีขาวเต็มขั้น

            ขณะที่ “แดเนียล เฮล” ผู้เป่านกหวีดให้สังคมหูตาสว่างที่ไม่ทันได้หนีก็ถูกจับส่งฟ้องและนำมาสู่การใช้ชีวิตในเรือนจำ บรรพบุรุษของเขานั้นไม่ธรรมดา มีนามว่า “นาธาน เฮล” เป็นอเมริกันผู้รักชาติทำหน้าที่สายลับจารกรรมข้อมูลจากกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา เขาถูกอังกฤษจับได้และลงโทษแขวนคอประหารชีวิตหลังอเมริกาประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี 1776 ได้ไม่กี่เดือน คำพูดสุดท้ายของวีรบุรุษอเมริกาผู้นี้คือ “ข้ามีชีวิตเดียว เมื่อต้องตายก็ขอตายเพื่อชาติ”

            แดเนียล เฮล ผู้เป็นทายาทสืบเชื้อสายก็กล่าวในทำนองเดียวกันในวันอ่านคำพิพากษาว่า “ผมเสียใจอยู่อย่างเดียวคือผมมีเพียงหนึ่งชีวิตที่จะมอบให้กับประเทศของผม ไม่ว่าข้างนอกหรือในคุก”.

 

*************

 

อ้างอิง

- theintercept.com/2021/07/27/daniel-hale-drone-leak-sentencing

- theintercept.com/2021/07/24/daniel-hale-assassination-program-drone-leak

- theintercept.com/drone-papers

- en.wikipedia.org/wiki/Daniel_Hale_(intelligence_analyst)

 
 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"