มาคิดบวกกันดีกว่า


เพิ่มเพื่อน    

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด เราต้องการกำลังใจให้เกิดพลังในการต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งในการต่อสู้กับโรคระบาด และการต่อสู้กับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ในขณะที่เรากำลังต้องการกำลังใจ กลับมีคนบางกลุ่มบางพวกทำลายกำลังใจของพวกเรา ด้วยการคิดลบ และนำเสนอข่าวในเชิงลบที่ทำลายขวัญและกำลังใจของพวกเรา มิหนำซ้ำข่าวในเชิงลบที่พวกเขานำเสนอนั้น ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด สำหรับคนบางกลุ่มบางพวกนั้น เขาอาจจะไม่เคยเสนอข่าวที่เป็นเรื่องบวกเลย สิ่งที่พวกเขานำเสนอนั้นมีแต่เรื่องลบทั้งสิ้น เป้าหมายของเขาอาจจะเป็นการด้อยค่ารัฐบาล ต้องการจะสื่อกับประชาชนว่ารัฐบาลจัดการกับเรื่องโรคระบาดได้แย่มาก ทั้งการป้องกันการติดเชื้อ การจัดการเรื่องการรักษา การจัดหาวัคซีน การจัดการฉีดวัคซีน และการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์

พวกที่คิดในเชิงลบ เสนอข่าวในเชิงลบเพื่อด้อยค่ารัฐบาลนั้น เขาลืมไปว่า “หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ” หมายความว่าในขณะที่เขาพยายามจะด้อยค่าการทำงานของรัฐบาลนั้น เขากำลังทำลายขวัญและกำลังใจของหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ที่กำลังทำงานหนักด้วยความทุ่มเท ยอมเสียสละชีวิตส่วนตัวมาทำงานช่วยเหลือคนไข้ ขณะเดียวกันเขาก็ทำให้ประชาชนหดหู่จนหมดกำลังใจที่จะสู้ ท้อแท้ เมื่อติดตามข่าวสารที่พวกเขานำเสนอ บางคนนั้นเกิดความท้อว่า เราคงไม่สามารถจัดการกับโรคระบาดนี้ได้แล้ว เราคงไม่สามารถที่จะฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้แล้ว ป่วยการที่จะทำตามมาตรการที่ ศบค.ขอร้อง เพราะโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ก็ร้ายจนกระทั่งวัคซีนยี่ห้อไหนก็เอาไม่อยู่ คนรอบตัวเราก็มีแต่คนที่ติดเชื้อโดยไม่มีอาการ และสามารถที่จะกระจายโรคมาให้เราได้ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว หลายคนกำลังคิดว่า “อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด” ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะชนะโรคระบาดครั้งนี้ได้ เศรษฐกิจของประเทศก็คงไม่ฟื้น พฤติกรรม New normal ที่ ศบค.ร้องขอให้ร่วมมือนั้น อาจจะไม่ใครอยากทำตามแล้ว 

ในภาวะเช่นนี้ เราก็ยังมีข้อคิดจากผู้บริหารชาวมาเลเซียคนหนึ่งที่ให้คำแนะนำว่า เราไม่ควรจะคิดลบ แต่เราควรจะคิดบวก เพื่อให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้ เขาตั้งคำถามว่า “เราจะคิดลบกันไปทำไม” ทำไมเราไม่มองโลกด้วยความเป็นจริง อย่าทำเป็นคนโลกสวยที่อยากให้โลกเป็นเช่นนั้นเช่นนี้กับเรื่องที่ไม่อาจจะเป็นจริงได้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะคาดหวังกับสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นจริงได้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นสิ่งที่เราไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นการแสดงความไม่พอใจด้วยการเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แบบคนโลกสวยนั้น คือการคิดลบที่ทำลายความสุขของตนเอง และเมื่อนำเสนอเรื่องนี้ให้กับสังคม ก็เท่ากับทำลายความสุขของคนอื่นด้วย

 คนเราควรคิดบวกในบริบทความเป็นจริง มีคนทำดีกับเรามากมายที่เราควรจะต้องตอบแทนเขาเหล่านั้นทั้งหมด แต่ในความเป็นจริง เราคงไม่สามารถตอบแทนเขาเหล่านั้นได้ในวันนี้วันพรุ่ง แต่เราต้องตั้งใจว่าเราจะต้องตอบแทนพวกเขาให้ได้ในวันใดวันหนึ่ง ในภาวะของวิกฤติครั้งนี้ เรามีการเลิกจ้างพนักงานไปจำนวนหนึ่ง และพนักงานที่บริษัทเลิกจ้างในช่วงวิกฤติโควิด เราคงไม่สามารถจ้างกลับคืนทั้งหมดเมื่อวิกฤติโควิดจบสิ้นลง หากคนที่ไม่ยอมมองโลกด้วยความเป็นจริง และคิดลบ ก็อาจจะด่าทอต่อว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่ถือเอาโอกาสของการเกิดวิกฤติครั้งนี้ทบทวนจำนวนพนักงานขององค์กร แล้วตัดสินใจที่จะ Downsizing ให้มีจำนวนพนักงานที่เป็น rightsizing ทั้งนี้ เพราะจากการเลิกจ้างพนักงานไปจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพพอ ดังนั้นเมื่อวิกฤติโควิดจบลงจึงไม่ได้จ้างทุกคนกลับเข้าทำงานอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากคนที่รู้จักคิดวิเคราะห์ตามความเป็นจริงก็คงจะเข้าใจได้ และไม่ด่าทอต่อว่าบริษัทที่ไม่ได้จ้างพนักงานบางคนกลับเข้าทำงาน

ผู้บริหารท่านนี้บอกว่ามันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะคิดลบ ร่ำไห้ โอดครวญ ด่าคนนั้น ด่าคนนี้ ด่าสังคม ด่ารัฐบาล หรือบางคนนั้นเลยไปถึงด่าพ่อ ด่าแม่ (ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากที่เด็กๆ บางคน ตอนนี้ด่าพ่อ ด่าแม่ตัวเอง และมองว่าพ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับเขาเลย) ในยามที่เรากำลังเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดในครั้งนี้ เราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ ที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเป็น “The act of God” ไม่ว่าเราจะโชคร้ายหรือโชคดี เราก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นจริงนี้ให้ได้ เราสามารถบอกกับตัวเราเองว่า เรากำลังเผชิญกับวิกฤติที่ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ของเราไม่เคยเผชิญมาก่อน การที่เราแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ด้วยความยากลำบาก ก็เพราะว่ามันเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่อุบัติขึ้นบนโลกนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นการจัดการแก้ไขปัญหาจึงมีผิดมีถูก เพราะเราไม่มีต้นแบบที่เป็นบทเรียนมาในอดีต ถ้าหากทำถูก เราก็ควรจะดีใจและให้กำลังใจคนที่ทำ แต่ถ้าหากทำผิด เราก็ต้องเข้าใจ และให้คำแนะนำเพื่อช่วยกันแก้ไข แทนการก่นด่าด้อยค่ากัน อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในประเทศไทยในขณะนี้

สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ถ้าหากเรารอดได้ เราก็สามารถบอกกับตัวเราเองว่าเราแข็งแกร่งกว่าบรรพชนในรุ่นก่อนๆ แล้วเราจะรู้สึกดีกับหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่าสำหรับการมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้เราอาจจะมองข้ามและไม่เห็นความสำคัญของมันมาก่อน ไม่ว่าการกินอาหารอร่อยๆ การไปงานเลี้ยงที่สนุกๆ การดูรายการโทรทัศน์ และการไปดูกีฬา ถ้าเราผ่านพ้นวิกฤติโควิดไปได้ เราก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า “เราคือผู้ที่รอด” และเราก็จะซาบซึ้งกับกิจกรรมต่างๆ ที่เรามีโอกาสได้ทำต่อไป ทั้งๆ ที่กิจกรรมเหล่านี้คือสิ่งที่เราทำจนชินและไม่เคยซาบซึ้งคุณค่าของมัน แต่ในวันที่เราเป็นผู้ที่รอดจากวิกฤติครั้งนี้ เชื่อว่าพวกเราจะซาบซึ้งและดีใจที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ได้ทำสิ่งต่างๆ ที่ให้ความสุขกับการดำรงชีวิตของเรา ดังนั้นเราจึงควรคิดบวกเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ตัวเราเองและคนรอบข้างตัวเรา ให้มีพลังใจที่จะต่อสู้กับวิกฤติครั้งนี้โดยไม่รู้สึกท้อแท้

วิกฤติครั้งนี้เลวร้ายกว่าวิกฤติต่างๆ ที่เราเคยเผชิญมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติทางการเงิน วินาศภัยทางธรรมชาติ และการก่อการร้ายที่เราเผชิญมาในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อเรารอดได้ เราก็จะมีเรื่องราวเอาไว้เล่าให้ลูกหลานเราฟังว่าเราแข็งแกร่งแค่ไหนที่ผ่านพ้นวิกฤตินี้มาได้ การคิดบวกเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เป็นนิสัย และถ้าเราคิดลบไม่เป็นก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร ดีเสียอีกที่เราคิดลบไม่เป็น คนที่เอาแค่คิดลบ เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า “การคิดลบมันให้ประโยชน์อะไร” ถ้าเราเอาแต่บ่นมันจะได้อะไร สิ่งที่เราควรจะคิดก็คือเราจะผ่านพ้นปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร มองหาหนทางเอาตัวให้รอด ดีกว่ามองหาปัญหาเพื่อนำมาก่นด่าด้วยการคิดลบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กับการทำงานของรัฐบาล และการดีใจเมื่อเราสามารถผ่านพ้นไปได้ ก็คือการคิดบวกที่พวกเราควรที่จะคิดให้เป็น ลองมาคิดบวกดูว่า จีนยังสามารถเอาชนะได้ด้วยการมีวินัยของคนจีน แล้วทำไมคนไทยจะไม่ใช้การมีวินัยสู้กับวิกฤติโควิดนี้ให้ได้เหมือนกับคนจีนล่ะ คิดบวกนะคะ.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"