อาจารย์สุลักษณ์ กำลังให้ร้ายป้ายสีใครหรือครับ ?


เพิ่มเพื่อน    


'ในหลวงรัชกาลที่ ๘ เป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบสุขุม พระองค์ตรัสน้อย ไม่แสดงอาการโกรธเคืองให้ปรากฎเลย พระองค์ท่านอยู่ในเกณฑ์ฉลาดเฉียบแหลม 

ถ้าพระองค์ท่านยังทรงราชสมบัติอยู่แล้ว ก็จะเป็นการขัดชวางรัฐบาลได้ เช่นรัฐบาลมีความเห็นอย่างหนึ่งพระองค์ท่านอาจจะไม่มีความเห็นด้วย' 

“ทฤษฎีมีเยอะแหละครับ ต้องเอาเอกสารต่างๆมาดู แล้วก็พิจารณาว่าจะเชื่ออันไหน เพราะในอดีตเราไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้นนี่ จะรู้ได้ยังไง เชื่อมากน้อยเพียงใดอยู่ที่เรามีใจเป็นกลางขนาดไหน

นี่ผมอยากจะแนะนำให้อ่านนะครับ หนังสือของสุพจน์ ด่านตระกูล เขียนดีมาก เพราะว่าที่มันน่าเชื่อก็คือว่า เวลานั้นน่ะ เยอรมันเค้าคิดยาได้ แล้วยานี้ฉีดเข้าไปคนก็จะหลับ หลับแล้วจะพูดชัด เอาจิตใต้สำนึกออกมา ทางรัฐบาลไทยก็ซื้อยานี้มา ฉีด ตอนนั้นหมอใช้ ยูนิพันธุ์ เป็นหมอมีชื่อเสียงมากนะ ผมรู้จักหมอใช้ด้วย ปรากฏว่าให้การในศาล จำเลยซักหมอใช้ที่อ่านถ้อยคำที่จำเลยทั้งสามคนให้การน่ะ หมอใช้บอกจำไม่ได้ แล้วไม่ยอมเอามาขึ้นศาล คุณสุพจน์แกเชื่อเลยว่า นายชิตกับนายบุศย์น่ะ คงจะให้การว่า…เสียงซ่าโดยเจตนาลบ…แต่ที่ให้การไว้ทั้งหมดว่าไม่ได้เข้าไป สุพจน์แกเชื่อเลยว่าเข้าไป เพราะถ้าเผื่อว่าไม่ได้เข้าไป ทำไมฝ่ายโจทย์ไม่เอาคำพูดที่อัดเสียงมาให้ ทนายเค้าถามหมอใช้ หมอใช้ฟังหรือเปล่า หมอใช้บอกจำไม่ได้แล้ว ไม่สำคัญหรอก นี่แสดงว่าตอแหล นี่คดีสวรรคต ฟังแล้วไม่สำคัญได้อย่างไร ต้องจำได้สิ” 

https://youtu.be/Snomyjt1mds?t=709
.
คราวนี้มาดูกันบ้างว่าที่อาจารย์สุลักษณ์พูดออกอากาศนั้น จริงแล้วคุณสุพจน์เขียนไว้ว่าอย่างไร
นายชิต สิงหเสนี ได้ให้การต่อศาลถึงวิธีการสอบสวนของพระพินิจชนคดี ว่าดังนี้

"ระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่บางขวางนี้ ตำรวจได้รับตัวช้าพเจ้าไปสอบสวนหลายครั้ง แต่ไม่มีการสอบสวนในเรือนจำนั้นเลย! มีหมอเข้าไปตรวจรักษาข้าพเจ้าในราววันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เพื่อดูว่าข้าพเจ้าเป็นโรคมาเลเรียหรือเปล่า ในชั้นแรกมีหมอใช้ หมอเล็ก และหมอที่ประจำเรือนจำบางขวางก็ไปด้วย

ก่อนที่จะเข้าตรวจ เจ้าหน้าที่เรือนจำบอกข้าพเจ้าว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาสอบสวน พอบอกแล้วหัวหน้าแผนกเรือนจำก็นำบุคคลผู้มีนามดังกล่าวเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วหมอไล่เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมข้าพเจ้าทั้งหมดออกไปนอกห้อง แล้วหัวหน้าแผนกควบคุมพูดว่าหมอเขาจะตรวจให้เขาตรวจเถอะ และหมอใช้ก็ได้ตรวจร่างกายข้าพเจ้าทั้งตัว และพูดว่าข้าพเจ้าคงเป็นมาเลเรียมาก่อนแล้ว ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่เคยเป็น หมอใช้ยืนยันว่าข้าพเจ้าเคยเป็นมาเลเรียมาก่อน เพราะม้ามข้าพเจ้าโต แล้วก็เอายาเม็ดขาว ๆ ละลายน้ำให้ข้าพเจ้ากินหนึ่งเม็ด แล้วสั่งให้ข้าพเจ้านอนพักผ่อน อยู่สักครู่หนึ่งแล้วออกไป

ต่อมาสัก ๑๐ นาที หมอใช้ก็กลับเข้ามาอีก และถามข้าพเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่าไม่รู้สึกว่าจะเป็นอย่างไร หมอใช้พูดว่า ถ้าอย่างนั้นให้ลองยาฉีดดูสักหน่อย ตัวเขาจะรักษาให้ แล้วก็เอาเข็มฉีดยาเข้าเส้นเลือดที่แขนข้ายข้าพเจ้า พอดึงเข็มออกแล้วหมอใช้พูดว่า เข้ามาได้แล้ว แล้วพวกนั้นก็กลับเข้ามาอีก ระหว่างที่เดินยานั้นช้าพเจ้ารู้สึกมึนตึง คอหอยแห้งผาก พอหมอชักเข็มออกข้าพเจ้าก็หมดความรู้สึก ที่เข้ามานั้น คือพระพินิจฯและหลวงแผ้วฯ มานั่งอยู่ข้างๆ  ก่อนที่ข้าพเจ้าจะหมดความรู้สึกพระพินิจฯได้มาจับขาข้าพเจ้าเขย่าและพูดถามข้าพเจ้าอยู่เรื่อย ๆ แต่จะถามว่ากระไรข้าพเจ้าจำไม่ได้

นายบุศย์ ปัทมศริน ก็เช่นเดียวกับนายชิตที่ถูกพระพินิจชนคดีสอบสวนโดยวิธีการนอกกฎหมายเช่นเดียวกัน นายบุศย์ได้ให้การต่อศาลว่าดังนี้

ในเดือนมีนาคม วันที่เท่าไหร่จำไม่ได้ เวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา ขณะที่ถูกคุมขังอยู่ชั้นบน (เรือนจำลหุโทษ อยู่ข้างวัดสุทัคน์) ข้าพเจ้าถูกบอกให้ลงไปข้างล่าง แล้วก็ถูกหมอจากข้างนอกตรวจร่างกาย โดยหมอบอกว่าถูกขังอยู่นานแล้ว จะเจ็บไข้เป็นอะไรบ้าง ตรวจดูเสียที และถามข้าพเจ้าว่ารู้สึกเป็นอะไรบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่าไม่เป็นอะไร หมอคนนั้นมาทราบภายหลังตอนที่มาเบิกความที่ศาลนี้ว่าคือหมอใช้

หมอใช้ตรวจร่างกายข้าพเจ้าแล้วก็กลับออกไป แล้วกลับเข้ามาอีกบอกว่าจะต้องฉีดยา แล้วก็ฉีดยาที่แขนข้าพเจ้า ยังไม่ทันหมดเข็มข้าพเจ้ารู้สึกง่วง มองดูเห็นมีตำรวจเข้ามาคนหนึ่งคือหลวงแผ้วฯ ข้าพเจ้ารู้สึกง่วงแล้วก็หลับไปคาเข็ม ข้าพเจ้ารู้สึกตัวในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นเวลาสักหนึ่งโมง ปรากฏว่าข้าพเจ้าขึ้นมานอนอยู่ข้างบนแล้ว โดยพัศดีให้ช่วยกันจับยกขึ้นมาตั้งแต่ก่อนรู้สึกตัว เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกตัวแล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ในนั้นบอกแก่ข้าพเจ้าว่ามีเจ้าหน้าที่มาคอยอัดเสียงข้าพเจ้า แต่จะอัดไปได้หรือไม่เขาไม่ได้เล่าให้ฟัง และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ซักถามเขา หลังจากถูกฉีดยาแล้วและรู้สึกตัวแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกมึนสมอง เหนื่อยและมักจะเป็นลมหน้ามืดบ่อย ๆ หัวใจเต้นแรง ๆ คล้ายตกใจอะไร อาการเหล่านี้ยังคงเป็นอยู่จนกระทั่งบัดนี้

การสอบสวนโดยวิธีนอกกฎหมายดังกล่าวนี้ ต่อมานายแพทย์ใช้ยูนิพันธ์ พยานโจทก์  ซึ่งเป็นผู้ฉีดยานายชิตและนายบุศย์ ได้ให้การยอมรับกับศาลว่าได้ไปฉีดยาให้นายชิตนายบุศย์จริง นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ได้ให้การตอนหนึ่งว่าดังนี้

"ตำรวจได้เรียกข้าพเจ้าไปปรึกษาถึงยาฉีดที่จะฉีดระงับประสาทเพื่อให้ผู้นั้นพูดไปด้วยความไม่ปิดบังมีบ้างไหม ข้าพเจ้าตอบว่ามีและข้าพเจ้ารู้จักอยู่และทำการใช้ได้ดี แต่ผลอาจจะไม่ได้ตามความมุ่งหมายก็ได้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ข้าพเจ้ายินดีจะทำให้ ยานี้เป็นยามีมานานแล้ว เป็นยารักษาโรคทั่ว ๆ ไป แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธีและไม่มีอันตราย
ข้าพเจ้าจึงได้ทำการฉีดยานี้แก่นายชิต นายบุศย์ จำเลยทั้งสองคนละคราว ข้าพเจ้าฉีดยาแล้วคงเดินเข้าเดินออกเพื่อดูอาการผู้ที่ถูกฉีดยา ตำรวจก็ทำการสอบสวนไป ทราบว่าทางตำรวจได้ทำการอัดเสียงครั้งหนึ่งแต่ช้าพเจ้าไม่ได้สนใจฟัง จึงไม่ได้ทราบผลของการสอบสวน และตำรวจก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง คนที่ถูกฉีดยาจะมีอาการง่วงเพราะเป็นยาระงับประสาท

จากคำเบิกความของนายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ในประเด็นที่ว่าไม่สนใจฟังการสอบสวนและบันทึกเสียงนั้นจะเชื่อได้แค่ไหนเพราะนายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ใช้วิธีการแพทย์ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนคดีสวรรคตเพื่อหามือปืนปลงพระชนม์ที่คนทั้งประเทศและแม้แต่ต่างประเทศก็สนใจอยากรู้ แต่นายแทพย์ใช้ ยูนิพันธ์ กลับบอกว่า ข้าพเจ้าไม่สนใจฟัง 

ไม่สนใจฟัง หรือกลัวมะพร้าวห้าวยัดปากจึงพูดไม่ออกบอกไม่ได้ เพราะว่านายชิต นายบุศย์ อาจพูดไปตามที่เห็นว่าในเช้าวันนั้นมีใครล่วงล้ำเข้าไปในห้องพระบรรทมบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ถ้ามีใครล่วงล้ำเข้าไป ใครคนนั้นไม่ใช่ เรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ตามสมมุติฐานของพนักงานสอบสวน อัยการจึงไม่ได้ส่งเทปม้วนนั้นไปสู่ศาล ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายจำเลยเรียกร้องท้าพิสูจน์ ก็ขอฝากให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน

นายสุพจน์มิได้ระบุชื่อ แต่อาจารย์สุลักษณ์กลับพูดออกไปขนาดที่ผู้รับผิดชอบต้องเซนเซอร์  

ส่วนที่นายสุพจน์เขียนว่าหมอใช้บอกไม่ได้สนใจฟัง อาจารย์สุลักษณ์เอาไปพูดดัดแปลงเป็น หมอใช้บอกจำไม่ได้ 
ส่วนประเด็นใหญ่โต ปรากฏชัดเจนในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ผมเอามาให้ดูข้างล่าง   ทั้งสองคนกลับไม่เขียน ไม่พูด 

เมื่อนายชิต สิงหเสนีจำเลย และนายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยถูกจับแล้ว โจทก์ได้นำสืบว่าจำเลยคู่นี้ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจโดยมีได้มีการบังคับขู่เข็ญ ทั้งรู้ตัวดีว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานยันได้ในการพิจารณาคดีขึ้นศาล

นายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยให้การไว้เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๙๐ มีข้อความว่า

"ข้าฯ เชื่อว่ามีคนร้ายลอบปลงพระชนม์โดยใช้อาวุธปืนยิง ข้าฯ เห็นว่าไม่เป็นอุบัติเหตุ เพราะขณะเกิดเหตุนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๘ ทรงพระประชวรร่างกายอ่อนเพลียและอยู่ในระหว่างเสวยน้ำมันละหุ่ง จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะคิดว่าในหลวงรัชกาลที่ ๘ เล่นปืนจนปืนลั่นถูกพระองค์  อีกประการหนึ่งรอยกระสุนเข้าและรอยกระสุนออกก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่กรณีอุบัติเหตุ 

กรณีปลงพระชนม์เองนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพระองค์ท่านไม่มีเรื่องขุ่นมัวพระทัยแต่อย่างใดเลย นอกจากนี้ในระหว่างพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชากลมเกลียวสนิทสนมรักใคร่กันมาก ไม่ปรากฏการทะเลาะวิวาทหรือผิดพ้องหมองใจแต่อย่างใด อีกประการหนึ่งพระองค์ท่านตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะเสด็จไปต่างประเทศ ได้ตระเตรียมพระองค์และจัดเข้าของไว้เกือบพร้อมบริบูรณ์แล้ว นอกจากนี้รอยกระสุนเข้าที่พระนลาตและรอยกระสุนออกที่ท้ายทอยก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นการปลงพระชนม์เอง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี้ ข้าฯ จึงเชื่อว่าในหลวงรัชกาลที่ ๘ ถูกคนร้ายลอบปลงพระชนม์ เหตุผลที่ถูกลอบปลงพระชนม์นั้นได้แก่

๑ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไม่ให้มีพระเจ้าแผ่นดิน

๒ (มีข้อความยืดยาวเกี่ยวกับการที่โปรดเกล้าฯให้ย้ายข้าราชการซึ่งอยู่ใกล้ชิดพระองค์)

๓ เมื่อปรากฏเหตุการณ์สวรรคตแล้ว ไม่ปรากฎว่ารัฐบาลได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาสอบสวนตามกฎหมาย

๔ ในหลวงรัชกาลที่ ๘ เป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบสุขุม พระองค์ตรัสน้อย ไม่แสดงอาการโกรธเคืองให้ปรากฎเลย พระองค์ท่านอยู่ในเกณฑ์ฉลาดเฉียบแหลม ถ้าพระองค์ท่านยังทรงราชสมบัติอยู่แล้ว ก็จะเป็นการขัดชวางรัฐบาลได้ เช่นรัฐบาลมีความเห็นอย่างหนึ่งพระองค์ท่านอาจจะไม่มีความเห็นด้วย 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้จึงเป็นเหตุให้พระราชชนนีรับสั่งกับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๑ มิ.ย.๘๙ ที่พระแท่นบรรทมว่า " เล็กอย่ารับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน"  ข้อความดังกล่าวนี้ ข้าได้ยินและยังมีนายชิต สิงหเสนี ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องจะได้ยินหรือไม่ ไม่ทราบ

ในการลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ดังกล่าวแล้ว บุคคลภายนอกจะทำได้โดยยาก ถ้าคนภายนอกจะทำแล้ว จะต้องร่วมมือกับคนภายในซึ่งอยู่ใกล้ชิด จึงจะทำได้สะดวก ถ้าเป็นคนภายในลอบปลงพระชนม์แล้ว ย่อมทำได้สะดวกกว่าคนภายนอก คนภายในที่ใกล้ชิดในขณะเกิดเหตุก็มีแต่ข้าฯ กับนายชิตเพียง ๒ คนเท่านั้น ในการปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘  ข้าฯสงสัยว่านายชิต จะเป็นผู้นำคนภายนอกเข้ามาลอบปลงพระชนม์ ฯลฯ

นายชิต สิงหเสนีจำเลยได้ให้การไว้เมื่อวันที่  ๒๕ ธันวาคม ๒๔๙๐ มีข้อความว่า  " ฯลฯ ในกรณีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ สวรรคตนี้ ข้าฯ สงสัยว่านายบุศย์จะเป็นสายให้แก่บุคคลอื่นลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ โดยมีเหตุผลดังนี้ คือ ฯลฯ 

ด้วยเหตุผลทั้ง ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น นี้ ข้าฯจึงลงความเห็นว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ถูกลอบปลงพระชนม์ ไม่ใช่เป็นการปลงพระชนม์เองหรืออุบัติเหตุ ในการลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ นี้ ถ้าเป็นบุคคลภายนอกเข้ามาลอบปลงพระชนม์ จะต้องมีมหาดเล็ก หรือบุคคลภายใน เป็นสายชักจูงนำเข้ามาจึงจะทำการได้สำเร็จ

ถ้าเป็นคนภายในลอบปลงพระชนม์แล้ว ย่อมทำได้สะดวกกว่าบุคคลภายนอก สำหรับบุคคลภายในที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ก็มีแต่ข้าฯ กับนายบุศย์สองคนเท่านั้นที่จะต้องรับผิดอยู่ด้วย บุคคลที่คิดจะลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ นั้น จะต้องมีการวางแผนการณ์ แล้วจะต้องมีสมัครพรรคพวกหลายคน  ผู้ที่ต้นคิดทำจะต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่เป็นต้นคิดลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ นี้จะเป็นใครข้าฯ บอกไม่ถูก ฯลฯ "

อาศัยเหตุผลทั้งหลายดังได้บรรยายมานี้ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษา แก้คำพิพากษาศาลอาญาว่า นายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๙๗ ตอนสอง ให้ลงโทษประหารชีวิต นายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยนอกจากที่แก้ไขนี้คงยืนตาม.

(หมายเหตุ คดีนี้  ศาลอาญาชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตนายชิตคนเดียว  นายบุศย์และนายเฉลียวให้ปล่อยไป ศาลอุทธรณ์(ตามคำพิพากษาข้างต้น) พิพากษาประหารชีวิตนายชิตและนายบุศย์ ส่วนนายเฉลียวให้ปล่อยไป  สุดท้ายคือศาลฎีกา พิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม คือ นายชิต นายบุศย์ และนายเฉลียว) 

-------------

ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"