วัคซีนแบบพ่นจมูก  ทางเลือกใหม่ต่อกรโควิด


เพิ่มเพื่อน    

ในภาวะวิกฤติการระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยที่เดลตา (สายพันธุ์อินเดีย) แพร่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก สิ่งเดียวที่ยับยั้งการระบาดในขณะนี้ได้คือวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ ที่สามารถต่อสู้กับไวรัสกลายพันธุ์ได้
    ปัจจุบันวัคซีนที่ใช้สำหรับคนอย่างเป็นทางการคือวัคซีนแบบของเหลวที่ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แต่ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังวิจัยและทดลองผลิตวัคซีนรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะวัคซีนของเหลวอีกต่อไป เพราะเรากำลังจะได้ใช้วัคซีนในรูปแบบใหม่ๆ เช่น วัคซีนแบบพ่นจมูก โดยวัคซีนที่ฉีดทางกล้ามเนื้อจะไปกระตุ้นภูมิต้านทาน หรือแอนติบอดี ชนิด ที-เซลล์ (T-cell) ในกระแสเลือดหรืออวัยวะต่างๆ และไม่ได้สร้างแอนติบอดีไปถึงบริเวณจมูกมากเพียงพอที่จะป้องกันไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้  
    แต่ไม่นานนี้ ประเทศไทยเองก็กำลังวิจัยและทดลองผลิตวัคซีนโควิดแบบพ่นจมูกและปากเช่นกัน โดย สวทช.ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แบบพ่นจมูกออกมาได้สำเร็จ ซึ่งผ่านการทดสอบในหนูทดลองเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพต่อการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้น
    โดยวัคซีนชนิดโควิด-19 ชนิดพ่นจมูก เป็นวัคซีนที่พ่นละอองฝอยในโพรงจมูกผ่านเข็มฉีดพ่นยาชนิดพิเศษที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งวัคซีนไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในเยื่อเมือกของระบบทางเดินหายใจส่วนบนโดยตรง ซึ่งไวรัสส่วนใหญ่รวมถึงไวรัสโคโรนาอันเป็นสาเหตุของโควิด-19 มักจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูกและก่อตัวขึ้นในโพรงจมูกก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายรวมถึงปอด จากการทดสอบพบว่าแอนติบอดีในเยื่อเมือกระบบทางเดินหายใจส่วนบน จะสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วและดีกว่าวัคซีนแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ รวมถึงสามารถกระตุ้นการผลิตอิมมูโนโกลบูลินเอ ที่จำเพาะต่อแอนติเจน และเม็ดเลือดขาวชนิด T-cell ในทางเดินหายใจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบฆ่าเชื้อ ซึ่งสามารถสกัดกั้นไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับไวรัสป้องกันการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย และลดโอกาสที่ผู้คนจะแพร่เชื้อไวรัสต่อได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันได้ จึงถูกมองว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน จากความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. สามารถอัปเดตวัคซีนให้ตอบสนองต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะอุบัติขึ้นได้ไวภายใน 2-3 สัปดาห์ เพียงเท่านั้น
    นวัตกรรมวัคซีนฉีดพ่นจมูกของทีม สวทช.จึงเกิดขึ้น 2 ชนิด วัคซีนตัวแรกคือ Adenovirus ที่มีการแสดงออกของโปรตีนสไปค์ (Spike) ออกแบบโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอย ซึ่งวัคซีนนี้ได้ทุนวิจัยจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยผลทดสอบหลังนำเชื้อโควิด-19 ฉีดในหนูทดลอง ที่ได้รับการพ่นวัคซีนแล้ว 2 เข็ม พบว่าหนูทดลองไม่มีอาการป่วยหรือตายใดๆ ทั้งยังกินอาหารได้ปกติ และน้ำหนักไม่ลด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ที่ฉีดวัคซีนเข้ากล้าม พบว่าหนูไม่มีอาการป่วย หรือตายเช่นกัน แต่มีน้ำหนักตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะนี้ทีมวิจัยอยู่ระหว่างดูข้อมูลปริมาณไวรัสที่อยู่ในปอดว่ามีมากน้อยเพียงใด เพื่อนำข้อมูลไปเสนอ อย.ขออนุมัติการทดสอบในมนุษย์เฟส 1 และ 2 ต่อไป
    ส่วนวัคซีนตัวที่ 2 คือ Influenza virus ที่มีการแสดงออกของโปรตีน RBD ของสไปค์ (Spike) โดยตัดแต่งไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้เชื้ออ่อนลง แล้วเพิ่มสารพันธุกรรม RBD ซึ่งเป็นส่วนที่จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสก่อโรคโควิด-19 เข้าไป ดังนั้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะสร้างขึ้นมา 2 แบบ คือ รู้จักกับโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
    หลังทดสอบในหนูทดลองพบว่า เมื่อนำเลือดของหนูทดลองมาดู ในปอดมีแอนติบอดีสูง ป้องกันการติดเชื้อในปอดได้ดี โดยผลการวิจัยเรื่องระดับภูมิคุ้มกันในหนูทดลองได้ตีพิมพ์ไปแล้ว ขณะนี้กำลังต่อคิวทดสอบประสิทธิภาพการคุ้มโรคโควิด-19 โดยร่วมมือกับทีมองค์การเภสัชกรรม และมีแผนจะออกมาทดสอบเป็นตัวต่อมา คาดว่าจะเริ่มทดสอบในมนุษย์เฟสแรกปลายปี 2564 นี้ และต่อเนื่องเฟส 2 ในเดือน มี.ค.2565 หากได้ผลดีจะสามารถผลิตใช้ได้ประมาณกลางปี 2565 นี้
    อย่างไรก็ตาม เรื่องวัคซีนพ่นจมูกไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ในการพัฒนาวัคซีนมาตั้งแต่เดือน มี.ค.2564 มีข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เตรียมอนุมัติการใช้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รุ่นใหม่กว่า 10 รุ่น ที่จะผลิตและนำมาใช้ได้ช่วงปลายปี 2564 หรือปี 2565 ประกอบด้วยวัคซีนแบบเข็มเดียว วัคซีนแบบพ่นทางปากและจมูก ตลอดจนแผ่นแปะบริเวณผิวหนัง ซึ่งสามารถจัดเก็บในอุณหภูมิห้องได้ สำหรับใช้ในกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถรับวัคซีนแบบปกติ เฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงตั้งครรภ์ โดย WHO คาดว่าการทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิก และกระบวนการทบทวนตามกฎหมายของวัคซีนรุ่นใหม่ 6-8 รุ่น จะแล้วเสร็จในห้วงปลายปี 2564
    นอกจากนี้ ข้อดีที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับชนิดพ่นจมูกคือ ประชาชนไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการต่อคิวเพื่อขอรับการฉีดวัคซีน เห็นได้ว่าทุกวันนี้มีคนมากมายต่างต้องการวัคซีนเพื่อเป็นเกราะป้องกันโควิด-19 แต่ระบบการเข้าคิวรับวัคซีนในไทยใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะได้รับวัคซีน  และที่สำคัญเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้อื่นที่ร่วมต่อคิวกับเรา เพราะเป็นไปได้ยากที่จะเห็นการเว้นระยะห่างทางสังคมระหว่างการต่อคิว ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ดังนั้นสิ่งสำคัญนอกเหนือจากวัคซีนที่หมอทุกคนต่างย้ำกับประชาชนทุกครั้งคือ การใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างจริงจัง ซึ่งต้องทำให้ชินในสถานการณ์ที่ยากต่อการรับมือ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"