ฉีกยุทธศาสตร์ชาติ! ‘ธนาธร’ค้านลูกเดียว/ยกก้นไพร่หมื่นล้านไม่ใช่ถนิมสร้อย


เพิ่มเพื่อน    

  ผลสำรวจซูเปอร์โพลประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้จักยุทธศาสตร์ชาติ แนะควรใช้ภาษาง่ายๆ ให้ชาวบ้านเข้าใจ คนไทยเริ่มห่วงอนาคตต่างชาติแย่งงานเรียบ ขณะที่ "ธนาธร" มามุกเดิม ลั่นหลังเลือกตั้งถ้าฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงข้างมาก ฉีกยุทธศาสตร์คนแก่แน่นอน เพราะไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้ "บิ๊กตู่" เอาใหม่แก้กลอนไทยนิยม ทำไม่ดี ทุจริต สักวันล่มสลาย วอนคนไทยรีบตื่น

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรต่อยุทธศาสตร์ชาติ กับอนาคตของประชาชน และอนาคตของประเทศไทยที่ต้องการ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวน 1,150 ตัวอย่าง โดยดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 5-15 มิถุนายน พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา
พบว่า อนาคตของประชาชนกับอนาคตของประเทศไทยที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ ร้อยละ 29.0 ระบุว่า ประชาชนคนไทยต้องมีงานทำมั่นคง มีเงินพอค่าครองชีพ ไม่ถูกคนต่างด้าวแย่งอาชีพ รองลงมาคือร้อยละ 22.6 ระบุบ้านเมืองสงบสุข ไม่วุ่นวาย อันดับสาม ได้แก่ ร้อยละ 17.3 ระบุประชาชนมีระเบียบวินัย มีการบังคับใช้กฎหมายจริงจังต่อเนื่อง ควบคุมพฤติกรรมคนได้, อันดับสี่ ได้แก่ร้อยละ 10.6 ระบุประชาชนได้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน, อันดับห้า ได้แก่ ร้อยละ 10.3 ประชาชนมีทัศนคติที่ดีต่อกัน และอันดับหก ได้แก่ร้อยละ 10.2 ระบุเป็นพลเมืองที่ดีต่อประเทศชาติ
    ผอ.ซูเปอร์โพลเผยว่า จากการสัมภาษณ์เจาะลึกกลุ่มคนไทยวัยทำงานถึงเหตุผลว่าทำไมเรื่องการมีงานทำมั่นคงจึงขึ้นมาเป็นอันดับแรกแซงหน้าความสงบสุขของบ้านเมือง พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ แต่ปัญหาคนไทยไม่มีงานทำที่มั่นคงกระทบต่อคนไทยจำนวนมาก
คนตอบส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ทุกวันนี้คนไทยถูกแย่งอาชีพ หลายอย่างที่เคยทำอยู่อย่างมั่นคงต่อเนื่องมา บางพื้นที่แรงงานต่างด้าวผันตัวเองมาเป็นเจ้าของค้าขายจำนวนมาก เช่น อาชีพค้าขายอิสระ ขายผักขายปลา ขายผลไม้ในตลาดสด อาชีพทำอาหาร ทำครัว ขายก๋วยเตี๋ยว ขายส้มตำ พนักงานคิดเงินตามร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัยต่างๆ คนไทยถูกผลักออกไปทำอาชีพอิสระ ไม่มั่นคง หาเช้ากินค่ำ ไม่พอค่าครองชีพ 
จำนวนมากหันไปขายของออนไลน์ก็ไม่มีหน่วยงานรัฐใดสนับสนุนส่งเสริม ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม บางคนจึงไปเล่นพนัน หวังรวยทางลัด ค้ายาเสพติด ก่ออาชญากรรม หลอกลวงต้มตุ๋น ฉ้อโกง ติดคุกมีคดีติดตัว ขาดหน่วยงานรัฐดูแลชีวิตการงานของคนไทยให้มั่นคง จึงทำให้อันดับของความต้องการที่จะเห็นคนไทยมีงานทำมั่นคง มีเงินพอค่าครองชีพขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่า แย่แล้วที่ผลสำรวจพบว่าคนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.0 เคยได้ยินคำว่า ยุทธศาสตร์ชาติ แต่เกินครึ่งหรือร้อยละ 54.9 ไม่รู้ว่า ยุทธศาสตร์ชาติคืออะไร และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.2 ระบุจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ ด้วยภาษาง่ายๆ ชาวบ้านจำได้ง่าย จะได้ช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ชาติร่วมกันได้ดีขึ้น
    ดร.นพดลกล่าวว่า ที่ผ่านมาคนจัดทำยุทธศาสตร์เขียนยุทธศาสตร์ชาติออกมาเยอะเกินไป โดยใช้ภาษาวิชาการห่างไกลตัวประชาชนและขาดกลยุทธ์ในการสื่อสารกับประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น คนออกแบบยุทธศาสตร์มุ่งแต่ใช้อำนาจรัฐ (State Power) ทำให้เกิดการเน้นการใช้กองกำลังปฏิบัติการที่ใช้งบประมาณสูง แต่ลงทุนด้านการหาข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำน้อยมากในการออกแบบยุทธศาสตร์ และให้ความสำคัญน้อย เช่นกันกับอำนาจจากภาคประชาชน (Non-State Power) ทำให้ออกแบบยุทธศาสตร์ได้ไม่ดีพอ ขาดพลังจากฐานรากของประชาสังคมสนับสนุน ประเทศไทยจึงอยู่ในวังวนของปัญหาและเสียงเรียกร้องเดิมๆ ต่อไป
    ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เฟซบุ๊กไลฟ์ถึงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยนายธนาธรกล่าวช่วงหนึ่งว่า คนเขียนแผนยุทธศาสตร์เป็นคนอายุเฉลี่ยเกิน 63 ปีเป็นส่วนใหญ่ เป็นคนในวันเกษียณอายุ แต่จะมาเขียนทิศทางให้กับคนที่กำลังจะสุขสกาว 
    อีกทั้ง คสช.ยังจัดความสำคัญอันดับหนึ่งไว้ที่เรื่องความมั่นคงของทหาร ซึ่งถ้าดูเนื้อหา หรือที่มา หรือแม้แต่กระบวนการที่ไม่มีส่วนร่วมของประชาชน นี่จึงไม่ใช่ยุทธศาสตร์ชาติ แต่เป็นยุทธศาสตร์ของ คสช. เป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่ได้เขียนมาเพื่อถูกใช้ แต่เขียนมาเพื่อให้ถูกฉีก ไม่มีทางเลยที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ วิธีการเดียวที่จะพ้นไปจากทั้งกับดักยุทธศาสตร์ชาติ กับดักรัฐธรรมนูญมีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น คือการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคที่ชมชอบและชื่นชอบประชาธิปไตยร่วมกันทุกพรรคจะต้องได้เสียงในสภา 376 เสียงถึงจะเป็นก้าวแรกในการสร้างประชาธิปไตย
    “ถามว่ายากไหม ยากแน่นอน ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ส.ส.มี 500 คน ส.ว.แต่งตั้งอีก 250 คน รวมคนที่มีอำนาจเลือกนายกฯ มี 750 คน ถ้าจะทำให้เจตจำนงของประชาชนได้รับการตอบสนอง ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องชนะเสียงจาก 250 ส.ว.ที่ คสช.แต่งตั้งด้วย ดังนั้น วิธีการเดียวคือ เราต้องรวมกันให้ได้เสียง ส.ส.เกิน 376 เสียง จาก 500 คน ถือเป็น 3 ใน 4 ซึ่งเป็นเสียงที่มโหฬารมาก เป็นเสียงข้างมากแบบมากๆ รวมกันเพื่อบอกว่าเราไม่เอารัฐประหาร ถึงจะได้ชัยชนะที่ขาดในเกมนี้ของ คสช.” นายธนาธรกล่าว
    พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ที่เคยระบุว่าพนักงานบริษัทและข้าราชการเป็นไพร่สมัยใหม่ ได้แชร์ข้อความพร้อมโพสต์ข้อความว่า "การรับน้องจากฝ่ายขวาจัด บางทีก็ทำให้น้องโตเร็วนะครับ เนติวิทย์ฯ คือตัวอย่าง"
    สำหรับโพสต์ที่รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ระบุว่า "พรรคอนาคตใหม่ โดนรับน้องหนัก ผมว่าพรรคนี้ เป็นม้าตัวเต็งหลักตัวหนึ่ง ก็ต้องโดนเป็นธรรมดาครับ ยิ่งตียิ่งโต ไม่จำเป็นต้องแปลกใจหรือโวยอะไร แต่สะท้อนว่า "มาถูกทางแล้ว"
    แต่ก็ต้องระวังเรื่องล่อแหลมที่พวกเขาจะหยิบเอาไปขยายประเด็นด้วย ไม่ต้องตามใจแฟนคลับ "แดงก้าวหน้า" มากก็ได้ เดี๋ยวโดนก่อนเกิด เพราะเรื่องแบบนี้พวกเราก็ทราบกันดีอยู่ ไม่ต้องพูดมากก็ได้ เก็บไว้ในใจก็รู้กันอยู่
    ผมคิดว่ามีนโยบายหรือระบบคิดจำนวนมากที่ต้อง "ตีฝ่าวงล้อมระบบคิดเดิมๆ ออกไป" แทบในทุกประเด็นในสังคม ไม่ว่าเรื่องการศึกษา ยุติธรรม กรอบวัฒนธรรมเดิมๆ เป็นต้น
    เมื่อเป็นม้าตัวเต็งตัวหนึ่ง ก็เป็นเป้าหมายที่เขาจะต้องต่อสู้ขัดขวางละครับ ที่สำคัญ "เป้าหมายคะแนนเสียง" ของพรรคอนาคตใหม่ เป็นเป้าหมายที่ทับซ้อนกับพรรค ปชป. และพรรคฝ่ายขวาต่างๆ ในคะแนน "ทั่วไป" (แต่ไม่ใช่เขต) ซึ่งจะมีผลต่อปาร์ตี้ลิสต์มาก
    ปชป.นั้น หวังในสนามปาร์ตี้ลิสต์อย่างมาก ส.ส.เขตนั้นคงยากจะสู้พรรคเพื่อไทยได้ เมื่อมีพรรคอนาคตใหม่มาแย่งในสัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์ จะกระทบ ปชป.อย่างหนัก
    ส่วนพรรคเล็กๆ อื่นๆ เป็นพรรคระดับพื้นที่ คะแนนเสียงทั่วไปคงได้ไม่มาก หากชนะเขตไหนไปแล้ว คะแนนไม่ถูกนับในปาร์ตี้ลิสต์ ก็จะชิงได้แต่ ส.ส.เขตเท่านั้น ก็เตรียมรับการต้อนรับน้องให้ดีครับ
    "ผมคิดว่าคุณธนาธรนั้นแกร่งพอ ไม่ใช่ถนิมสร้อย ที่จะโดนอะไรไม่ได้ อ.ปิยบุตรก็เช่นกัน สองคนนี้รับมือ อภิสิทธิ์ไหวแน่นอน แถมชกกลับได้แรงกว่า ส่วนพี่พงศกร ก็ไม่ใช่กระดูกอ่อนที่จะทนรับน้องไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงไม่ได้ห่วงอะไรเลย อยากรับน้องก็ทำไป" พล.ท.พงศกรระบุ
     พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประพันธ์บทกลอนชุดใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” ที่ได้มีการเผยแพร่ไปแล้วนั้น นายกฯ ได้มีการปรับแก้บางถ้อยคำให้ลงตัวมากขึ้น ทั้งนี้ กลอนดังกล่าวนายกฯ ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกจากใจไปสู่พี่น้องประชาชน ว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และพัฒนาประเทศทุกด้าน เพื่อให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ความสำเร็จทั้งหลายนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้  หากขาดความเข้าใจและร่วมแรงร่วมใจของทุกคน
    โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดกำลังได้รับการแก้ไข ทั้งการกระจายรายได้ การบริหารจัดการภาครัฐ การกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และอีกหลายปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปฏิรูปทั้งหมด และจำเป็นต้องใช้เวลา ที่สำคัญคือประชาชนทุกระดับจะต้องรู้จักพัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้ และปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น
    “ประชารัฐ ไทยนิยม”
    ประชารัฐ ไทยนิยม เหมาะสมยิ่ง
    ทำทุกอย่าง ตามจริง ให้มองเห็น
    สารพัน ปัญหา น่าลำเค็ญ
    ให้เปรียบเป็น แสงสว่าง ส่องทางไป
    ไม่มีใด จะได้มา อย่างง่ายดาย
    ไม่กระจาย เชื่อมโยง ต้องสงสัย
    ความเข้มแข็ง สามารถ ขาดหายไป
    ต้องทำใหม่ เช่นเดิม ไม่เสริมกัน
    ทั้งงบกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น
    เป็นอาจิณ ผ่านมา ให้สร้างสรรค์
    ทำไม่ดี ทุจริต สินบนกัน
    แล้วสักวัน ล่มสลาย หยุดหายใจ
    ขอวอนให้ คนไทย ต้องรีบตื่น
    เพื่อจะฟื้น เศรษฐกิจ ให้สดใส
    รายได้น้อย ปานกลาง สูงขึ้นไป
    เพื่อช่วยให้ ประเทศชาติ พัฒนา.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"