'เพื่อไทย' ดาหน้าซัดรัฐบาลถูกอัดจนมุมกลางสภาฯ แล้วยังกล้าไปต่ออีกหรือ


เพิ่มเพื่อน    

14 ก.ย.64 - ที่พรรคเพื่อไทย มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “จนมุมกลางสภา แล้วยังกล้าไปต่ออีกหรือ?” โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา แม้จะไม่ทำให้พลเอกประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งทันที หากเปรียบเทียบเหมือนคนป่วยคือตายคาที่ เพราะมีเสียงสนับสนุนยกมือโหวตในสภา เชื่อว่าจะตายระหว่างทางส่งโรงพยาบาลแน่นอน คล้ายกับกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีในปี 2535 กรณีที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 หรือนโยบายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมอบให้เกษตรกร ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุดท้ายนายชวนประกาศยุบสภา และอีกกรณีคือ สมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีการทุจริตธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือบีบีซี เมื่อปี 2539 จนทำให้รัฐมนตรีหลายคนลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา ซึ่งทั้งสองกรณีเรียกว่าจนมุมในสภา แม้จะไม่ยุบสภาทันที แต่ทนเสียงกดดันของประชาชนไม่ไหว ประกาศลาออกและยุบสภาในเวลาต่อมา

การทำงานของฝ่ายค้านยุคใหม่ค่อนข้างยาก เนื่องจากการสื่อสารในปัจจุบันมีความรวดเร็ว จึงไม่จำเป็นต้องมีเซอร์ไพรส์ พรรคเพื่อไทยบอกข้อสอบให้หมดว่าจะอภิปรายในหัวข้ออะไรบ้าง แต่สุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็ไม่สามารถตอบคำถามได้  ไม่มีศิลปะในการตอบ ยังตอบคำถามแบบเดินลุยโคลน ไม่สนใจข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นโรคแพ้ไม่เป็น  แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลการกระทำที่อาคารรัฐสภาชั้น 3 และออกมาปฏิเสธในภายหลัง พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าในข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร  และแม้พรรคร่วมรัฐบาลจะยกมือโหวตแบบผิด ๆ เมื่อถูกจับผิดได้  จึงปลดร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเเรงงาน  เป็นการนำวิธีทางทหารมาตัดสินทางการเมือง ปลดผู้อื่นเพื่อสังเวยความผิด เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปได้  ทำให้เกิดความปั่นป่วนภายในพรรค และเชื่อว่าจะเกิดอาฟเตอร์ช็อค จะมีการปลดคนในพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มอีกแน่นอน   และในที่สุดจะสะดุดขาตัวเองล้มลง  เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคร่วมฝ่ายค้าน  กระทบกับการบริหารประเทศ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่  ทั้งที่ประเทศอ่อนแอต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง  แม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่จะความเชื่อมั่นจะตกต่ำ เปรียบเหมือนเป็ดง่อย และคนซวยคือพี่น้องประชาชน

นายสุทิน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ชั้น 3 คือเหตุการณ์ของแถมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เป็นการทำลายสถาบันทางการเมือง เกิดวิกฤตศรัทธาจนประชาชนตั้งคำถามว่า ระบบรัฐสภา เป็นที่พึ่งพาได้หรือไม่ จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบสภา มันเป็นความผิดที่สภาไทยมีมนุษย์พันธุ์พิเศษเข้ามาบริหารประเทศก็เท่านั้น

"อภิปรายขนาดนี้ยังปลดไม่ได้ คนยกมือให้คือจ้างมา รู้ตัวเลขด้วย ถามว่าเอาหลักฐานมาสิ  ชอบท้า  เรื่องอะไรผมจะเอาหลักฐานมาให้คุณ ชั้น 3 ไม่มีกล้อง เพราะเรารู้ว่าคุณทำชั้นอื่น แต่หลักฐานการคุยกันมันมี  บอกแค่นี้  อย่าท้ามาก  พวกคุณทำลายระบบการเมือง  ทำลายระบบสภาให้ย่อยยับไปด้วย” นายสุทินกล่าว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลจนมุมในสภาแล้ว ไม่สามารถตอบคำถามของพรรคร่วมฝ่ายค้านและชี้แจงในสภาได้  ข้อมูลทุกด้านที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายในสภาจะถูกรวบรวมและนำไปสู่การตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตไว้หลายด้าน  ได้แก่ 1.การบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ มิชอบ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และขัดต่อข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเอง

2. พลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถตอบข้อสงสัย ตอบไม่ตรงคำถามของฝ่ายค้าน  และยังด้อยค่าฝ่ายค้านเพื่อลดทอนประเด็นปัญหาบ้านเมืองลงด้วยการมองว่าฝ่ายค้านอภิปรายด้วยถ้อยคำรุนแรงไม่สุภาพ แต่ไม่มองสาระสำคัญหรือเนื้อหาอภิปราย

3.การบริหารงานช่วงโควิดจนผิดพลาดมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก พลเอกประยุทธ์ ใช้อำนาจตนเองตั้ง ศบค. เป็นผู้สั่งการคณะทำงาน และเป็นผู้กำกับข้าราชการลงไปถึงระดับปลัดกระทรวง แต่กลับปฏิเสธความรับผิดชอบ  ซึ่งมีหลักฐานคำสั่งมัดตัว

4.รัฐบาลทำให้ระบบสาธารณสุขล่มสลาย ไม่เตรียมการป้องกันดูแลรักษาประชาชน ปล่อยให้เกิดการระบาดจนประชาชนล้มตาย เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  จนได้รับความเสียหายจนถึงแก่ชีวิตของประชาชน

5.มีการกีดกันเอกชน เลือกปฏิบัติ  ไม่ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีน ด้วยการประกาศให้รัฐเท่านั้นที่สั่งซื้อได้ ทั้งที่รัฐมีหน้าที่แค่ติดต่อประสานงาน ทำให้ประชาชนไม่ได้รับวัคซีนที่ดีเพียงพอ ส่อทุจริตตลอดทั้งกระบวนการ

6.จัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 ที่มีข้อสงสัยเรื่องคุณภาพ จนมีผู้กล่าวกันว่า การจัดซื้อชุดตรวจแบบ Antigen Test Kit  หรือ ATK อาจกลายเป็น ATM ทั้งที่ ATK ควรเป็นเครื่องมือให้แพทย์ได้ตรวจประชาชนได้กว้างขวาง แต่เมื่อมีข่าวเรื่องการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส ครม.จึงรีบแก้มติ ครม. เปิดช่องให้จัดซื้อชุดตรวจที่มีข้อสงสัยเรื่องคุณภาพ เปลี่ยนสเป็ค เปลี่ยนวิธีการจัดซื้อ  จนเปิดช่องให้บางบริษัทสามารถเข้ามาประมูลและชนะประมูลได้ ทั้งที่มีข้อกังขาทั้งเรื่องราคาและคุณภาพ ซึ่งเป็นเจตนาที่ส่อทุจริต

7.รัฐบาลนี้บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว  ทำให้ศรัทธาประชาชนล้มเหลว และบริหารการสื่อสารของตนเองล้มเหลว  ตัวนายกรัฐมนตรีเองได้รับคะแนนความไว้วางใจน้อยมาก นี่คือสัญญาณบอกเหตุว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่น่าจะไปต่อได้อีก

"มั่นใจว่าคนป่วยที่ชื่อพลเอกประยุทธ์  จะไม่ตายก่อนถึงโรงพยาบาล แต่จะถึงโรงพยาบาลพอดีกับช่วงที่มีการโปรดเกล้ารัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย (จีดีพี) ติดลบติดต่อกัน 2 ปี  ถือว่าผิดปกติ สวนทางกับโลกที่เริ่มฟื้นตัว ที่เป็นแบบนี้เพราะประเทศไทยมีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี  บริหารประเทศผิดพลาด แต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ไม่มีความรู้ในการบริหาร ทำให้ประเทศมี 3 หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ หนี้สาธารณะ  คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จะกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ก่อหนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย และไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้  ไม่มีแนวโน้มว่าจะใช้คืนเงินอย่างไร เหมือนปู่ใช้เงิน หลานปู่มาใช้หนี้ การกู้เงินจำนวนมากจะกระทบกับการพัฒนาประเทศของคนรุ่นต่อไปให้ยากขึ้นเป็นเท่าตัว มรดกของคนรุ่นต่อไปคือหนี้สินก้อนโตที่เกิดขึ้นในยุคนี้  รวมทั้งหนี้ภาคประชาชน และหนี้ภาคธนาคารจะน่ากังวลมากขึ้นเนื่องจากมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น  ประเทศอาจถึงจุดทางตันทางเศรษฐกิจ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แม้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยได้เปิดข้อมูลความล้มเหลวในการบริหารหลายด้าน  แต่การตอบคำถามของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกลับออกมาปัดความรับผิดชอบและยังยืนยันว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศยังดีอยู่  ซึ่ง ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง  เพราะการแก้ไขปัญหาหากจะสำเร็จได้  สิ่งแรกที่ต้องทำคือการยอมรับปัญหา เมื่อรัฐบาลไม่เห็นว่ามันเกิดปัญหา  จึงไม่แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหา  ฝ่ายค้านได้พยายามทำหน้าที่ของผู้แทนประชาชนด้วยการต่อสู้ตามระบบสภาและร่วมกันอภิปรายอย่างมีความหวัง  แต่น่าเสียดายที่สู้ไม่ไหว

“สุดท้ายพี่น้อง 3 ป.ก็กลับมารักกัน ป.ที่ 4 คือประชาชน ก็คงต้องอกหักต่อไป แต่พรรคเพื่อไทยยังยึดมั่นทำเพื่อพี่น้องประชาชน เราจะพาประเทศที่ดีกลับคืนมาให้ได้ และเชื่อว่าวันหนึ่งเสียงของประชาชนจะชนะ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ตอกย้ำความล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ของพลเอกประยุทธ์ ที่สร้างความล้มเหลว  ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม จนไม่เห็นทางจะฟื้นฟูได้  และฝ่ายรัฐบาลยังมี 4 พฤติกรรม ที่ตอบคำถามไม่ชัดเจน ได้แก่  1.ตอบก่อนถาม 2.ตอบแบบไร้ภูมิปัญญา 3.ตอบไม่ตรงคำถาม 4.ไม่ตอบเลย

รัฐบาลไม่ตอบคำถามให้คลายความสงสัยหลายด้าน เช่น พรรคเพื่อไทยตั้งคำถามและถามหาหลักฐานการโอนเงินจัดซื้อซิโนแวค 17 เหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าประเทศอื่น  แม้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะออกมาตอบภายหลังว่า ราคา 17 เหรียญนั้น เป็นการตั้งราคาเผื่อเบิกจ่าย หากเหลือค่อยส่งคืนคลัง   และไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนซิโนแวค ซึ่งเป็นการตอบไม่ตรงคำถาม  เพราะเราต้องการหลักฐานการโอนเงินที่กรมควบคุมโรคโอนให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และหลักฐานการโอนที่ อภ.โอนให้บริษัทซิโนแวค  ไม่ได้ต้องการสัญญาซื้อขาย  จากนั้นต่อมาพลเอกประยุทธ์ ยังออกมาตอบคำถามที่ไม่ตรงกับคำตอบของนายอนุทิน ก่อนหน้านี้ โดยตอบว่าราคาวัคซีนซิโนแวค 17 เหรียญนั้นเป็นราคาที่ตั้งไว้รวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ฝ่ายค้านได้เปิดแผลและรวบรวมเป็นหลักฐานพร้อมยื่นต่อ ป.ป.ช. ซึ่งการกระทำของรัฐบาลจะเป็นข้อมูลชั้นดีให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า  แม้ครั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จะมีมือในสภา แต่เลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่สามารถฝ่าด่านศรัทธาประชาชนได้ สภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ คือสินค้าหมดอายุ รอวันย่อยสลาย แม้ครั้งล่าสุดจะชนะในสภาไปแบบทุลักทุเล แต่จะไม่สามารถฝ่าด่านประชาชนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกแน่นอน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"