หัดโทษตัวเองบ้าง    


เพิ่มเพื่อน    

เอาใจยากเช่นเคย....
    ประเด็นเปิดประเทศ ดูจะไม่เป็นที่พออกพอใจของคนบางพวก
    เหมือนกลัวรัฐบาลสร้างผลงาน ได้หน้า
    จนอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมต้องค้านกันทุกเรื่อง 
    บางจำพวกอาการหนัก ค้านเปิดประเทศ แต่ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว 
    มันส่อให้เห็นว่า ไม่มีความปรารถนาให้โควิดลด 
    แต่จะใช้เป็นเงื่อนไขไล่รัฐบาลต่างหาก 
    ขณะที่ข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ทันทีหลัง นายกฯ ออกทีวีประกาศเปิดประเทศวันที่ ๑ พฤศจิกายน คือ เงินบาทแข็งค่า  หุ้นขึ้นเขียวยกแผง 
    แม้จะไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำมาพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จ     แต่เป็นเจตนาเชิงบวก ที่มีผลด้านจิตวิทยา ให้ผู้คนคิดบวกตาม 
    ฉะนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อนสรุปว่า เปิดประเทศเมื่อไหร่ติดเชื้อรอบใหม่แน่ สุดท้ายกลับไปทุกข์ทรมานกับการล็อกดาวน์เหมือนเดิม 
    เรายังมีเวลาเตรียมการอีกหลายวัน
    แต่ละวันสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ 
    วันนี้ (๑๔ ตุลาคม) นายกฯ ลุงตู่ จะนั่งเป็นประธานประชุม ศบค.ชุดใหญ่ พิจารณาเรื่องที่ ศบค.ชุดเล็กเสนอ
    อาทิ ปรับระดับสีใหม่ให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดหรือสีแดงเข้ม เหลือจำนวน ๒๔ จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือพื้นที่สีแดง จำนวน ๒๙ จังหวัด 
    พื้นที่ควบคุมหรือสีส้ม จำนวน ๒๔ จังหวัด
    เสนอปรับเวลาเคอร์ฟิว จากเดิม ๔ ทุ่มถึงตี ๔ เป็น ๕  ทุ่มถึงตี ๓ 
    ผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมในพื้นที่สีแดงเข้ม ให้สามารถจัดการประชุม รวมถึงงานประเพณีในศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ และสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมได้
    พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า ๕๐ คน 
    พื้นที่ควบคุมสูงสุด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า  ๑๐๐ คน 
    พื้นที่ควบคุม ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า ๒๐๐ คน 
    พื้นที่เฝ้าระวังสูง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า ๓๐๐  คน 
    และพื้นที่เฝ้าระวัง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า ๕๐๐  คน
    นี่จะเป็นการเปิดที่มากกว่าเดิม
    อย่าลืมนะครับเราคลายล็อกมาตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน  ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ด้วยเงื่อนไขเคอร์ฟิว ๓ ทุ่มถึงตี ๔
    ร้านอาหารไม่มีเครื่องปรับอากาศ นั่งบริโภคในร้านได้  ๗๕%
    ร้านอาหารมีเครื่องปรับอากาศ นั่งบริโภคในร้านได้  ๕๐%
    งดการจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน
    เปิดให้บริการได้ไม่เกิน ๒๐.๐๐ น.
    เปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า
    ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมหรือแต่งผม เปิดได้เฉพาะตัดผมเท่านั้น ไม่เกินคนละ ๑ ชั่วโมง
    ร้านนวด เปิดได้เฉพาะนวดเท้า
    คลินิกเสริมความงาม เปิดจำหน่ายสินค้าเท่านั้น 
    ขณะที่กิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงยังคงถูกล็อกเอาไว้ เช่น    สถาบันกวดวิชา โรงภาพยนตร์ สปา ผับ บาร์ เพราะมีความเสี่ยงสูงมาก 
    การผ่อนคลายมาตรการดำเนินมาเป็นระยะ จนถึงจุดนี้เรามีผู้ติดเชื้อวันละหมื่นคน จากที่เคยติดเชื้อสูงถึง ๒ หมื่นกว่าคนต่อวัน 
     ถามว่าจะเอาไงต่อ? 
    จะรอให้มีคนติดเชื้อหลักร้อยหลักหน่วยต่อวันแล้วค่อยเปิดประเทศได้หรือเปล่า 
    แล้วจะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ดำดิ่งอย่างหนักอย่างไร
    ครับ...คนเป็นรัฐบาลมีหน้าที่บริหารประเทศต้องคิดหลายขยัก หลายตลบ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างสมดุล 
    ไม่ใช่กลัวโควิดจนอดตาย
    หรือตายกันหมดเพราะไม่กลัวโควิด
    ฉะนั้นการประกาศเปิดประเทศวันที่ ๑ พฤศจิกายน รับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดย ไม่ต้องกักตัว ตามเงื่อนไขฉีดวัคซีนครบโดส     
    จากนั้นวันที่ ๑ ธันวาคมเปิดผับ-บาร์ สถานบันเทิง  สามารถนั่งดื่มเหล้าในร้านอาหารได้ 
    คือสิ่งที่ต้องทำ และเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาล 
    รวมถึงคนไทยทั้งชาติ 
    ฝ่ายค้านฝ่ายแค้นพยายามยกเรื่องฉีดวัคซีนไม่ครอบคลุมพอ เราก็ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าในการเตรียมรับมือกับนักท่องเที่ยว
    และอีกกว่าเดือนครึ่งรับมือกับการเปิดผับ-บาร์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อการระบาดของโควิด-๑๙ มากที่สุด 
    ๑ ธันวาคม ฉีดวัคซีนสะสม ๙๐ ล้านโดส ไม่น่าจะยากมากนัก 
    กระแสโลกขณะนี้เปลี่ยนไปเยอะพอควร 
    จำนวนผู้ป่วยรายวัน จะไม่ใช่ตัวตัดสินว่าจะคลายล็อก  หรือกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้งหรือไม่ อีกต่อไปแล้ว
    เมื่อการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ หรือเกือบทุกคน สิ่งที่ตามมาคืออัตราการติดเชื้อจะลดลง
    คนที่ติดเชื้ออาการจะไม่เยอะ จำนวนมากไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อัตราการตายจะต่ำ อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้  
    และเราจะเข้าสู่ภาวะดังกล่าวในระยะอันใกล้นี้ 
    มันก็เป็นที่มาของการทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน 
    ฉีดวัคซีน กระตุ้นเศรษฐกิจ ล้วนต้องเดินหน้าไม่สามารถพักสิ่งหนึ่งเพื่อไปทำอีกสิ่งหนึ่งได้ 
    อัตราการเสียชีวิตของคนไทยจากโควิดล้านคนอยู่ที่  ๒๕๖ คน เป็นลำดับที่ ๑๓๐ ของโลก 
    น้อยกว่าหลายชาติในยุโรป อเมริกา เยอะครับ 
    อเมริกา ล้านคน เสียชีวิต ๒,๒๑๒ คน 
    เบลเยียม ๒,๒๐๖ คน
    อังกฤษ ๒,๐๑๘ คน
    ฝรั่งเศส ๑,๗๙๐ คน
    เยอรมนี ๑,๑๓๑ คน
    หรือแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านของเรา
    มาเลเซีย ๘๓๗ คน
    อินโดนีเซีย ๕๑๕ คน
    ฟิลิปปินส์ ๓๖๐ คน
    เมียนมา ๓๓๑ คน
    ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ ๖๒๖.๕ คน
    ที่ยุโรป อเมริกา แทบจะไม่ให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเหมือนก่อน และไม่ได้เอามาเป็นประเด็นหลักในการตัดสินว่าจะล็อกดาวน์หรือไม่อีกแล้ว เพราะการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุม
    และอัตราการเสียชีวิตช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อไม่สูงเหมือนช่วงครึ่งปีแรก 
    ฉะนั้นนี่คือทิศทางของโลกเกี่ยวกับการรับมือโควิด 
    มีข้อกังวลเรื่องการเปิดผับ บาร์ รวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านว่าอาจเป็นสาเหตุหลักของการระบาดรอบใหม่หลังเปิดประเทศ 
    ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าห่วงจริงๆ เพราะจะมีกลุ่มคนที่เห็นแก่ได้พร้อมที่จะทำผิดกฎหมายเมื่อมีโอกาส 
    แต่เราก็ได้รับบทเรียนราคาแพงมาแล้ว 
    หากจะเกิดอีกครั้งนอกจากรัฐบาลต้องรับผิดชอบแล้ว  คนไทยที่ไร้วินัยและพาตัวเองไปเสี่ยงในผับ-บาร์ก็ต้องรับผิดชอบต่อส่วนรวมเช่นกัน 
    อย่าเอาแต่โทษคนอื่น. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"