‘อดีตปลัดคลัง’สับยับโควิดผุดจุดอ่อนไทยเหลื่อมล้ำหนัก


เพิ่มเพื่อน    

 

18 ต.ค. 2564 นายสมชัย สัจจพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในงานครบรอบวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง “ก้าวข้าม COVID-19 สู่วิถี Endemic” หัวข้อสัมมนา “เพิ่มมุมคิด เติมมุมมอง ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19” ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือว่าส่งผลกระทบรุนแรงมากที่สุดทั้งในแง่ชีวิต เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนไทย สร้างแผลเป็นให้กับระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ขณะเดียวกันวิกฤติโควิด-19 ก็ยังชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของไทยที่มีมากมาย เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงมากขึ้นในหลายมิติ ทั้งด้านรายได้ เศรษฐกิจ สังคม ระบบการช่วยเหลือทางสังคมที่อ่อนแอ ไม่ทั่วถึง ปัญหาของความสามารถและสมรรถภาพของภาครัฐในการบริหารจัดการแบบองค์รวมที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ทั้งหมดถือเป็นความท้าทาย เป็นจุดทดสอบสำคัญให้กับภาครัฐในการจัดการวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

ทั้งนี้ มองว่ามีความท้าทายจำนวนมากที่ทั้งภาครัฐและกระทรวงการคลัง ต้องเข้าใจและรู้ให้เท่าทัน ครบถ้วน เพื่อหาวิธีและมาตรการในการแก้ไขความท้าทายที่เกิดขึ้นแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แบบผักชีโรยหน้า อาทิ ความท้าทายในการช่วยเหลือคนตกงานจำนวนมากในช่วงที่เกิดการระบาดให้สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อีกครั้ง โดยรัฐ และกระทรวงการคลัง รวมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นเสนอแนะแนวทางในการพัฒนา สร้างงานในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานในส่วนนี้ จะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ไม่ใช่คิดจากส่วนกลางออกไปเพียงอย่างเดียว

“การแจกเงินไม่ใช่สูตรสำเร็จเดียวที่ทำได้ การแจกเงินเหมือนการยิงปืน แต่สิ่งที่รัฐบาลพลาดไปคือยิงปืนแล้วได้นกตัวเดียว แต่สิ่งที่อาจจะต้องทำเพิ่มคือทำอย่างไรให้การยิงปืนแล้วได้นก 2 ตัว นั่นคือ อาจจะต้องบวกเงื่อนไขเพิ่มเติมเข้าไปกับการแจกเงินเพื่อให้นโยบายตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้เพิ่มมากขึ้น เช่น การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ผ่านการอบรมเพิ่มทักษะต่าง ๆ อาจจะเป็นการอบรมแบบออนไลน์ก็ได้ แต่ที่ผ่านมาไม่มีเลย มีเพียงการแจกเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ต่ำลงเท่านั้น” นายสมชัย กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายว่า ทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีหรือคนตัวเล็กที่กำลังประสบปัญหา สามารถกลับมาทำธุรกิจได้เหมือนเดิมในยุค New Normal แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาล กระทรวงการคลัง และ ธปท. จะผลักดันโครงการสินเชื่อต่าง ๆ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องเงื่อนไข ข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อความแข็งแกร่งของระบบการเงิน จนทำให้ผู้ประกอบการหลายส่วนเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ หรือสินเชื่อดังกล่าว ขณะเดียวกันในช่วงที่มีวิกฤติกลับพบว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังมีกำไรหลายหมื่นล้านบาท ดังนั้นอาจถึงจุดที่สถาบันการเงินควรมีบทบาทมากกว่านี้ในการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ส่วน ธปท. ต้องกลับไปดูว่าทำนโยบายการเงินบทบริบทใหม่ได้หรือไม่ เครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ มีหรือไม่ หรือที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้หรือใหม่ สิ่งที่นโยบายการเงินต้องทำในภาวะนี้คือ ต้องนอกกรอบ เครื่องมือทางการเงินต้องมีนวัตกรรม

pgslot999 388goalv2 st99 omega100m tga36 playnow789 marvelbet168 pgzeed89 95up goatza11 megavip168 ntreeclub lionel99 hellow289 villa168 we888win gyg789 kimchibet finn88gold betworld369 sexyauto168 pgth369 allforwin zeeza lcbet

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ความท้าทายในเรื่องหนี้สาธารณะ ก็เป็นประเด็นสำคัญ ที่ผ่านมารัฐบาลยืนยันว่าไม่เคยทำผิดวินัยการคลัง เพราะทุกครั้งที่รู้ว่าจะทำผิดก็ขอขยาย ดังนั้นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการคลังภาครัฐจะมีไว้ทำไม แต่มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ เช่น กำหนดเป็นช่วงได้หรือไม่ แล้วหากหนี้สาธารณะจะเกินจะมีวิธีทำให้สัดส่วนหนี้ลดต่ำได้ในช่วงเวลาไหน ด้วยวิธีอะไร และรัฐบาลจะหาเงินมาเพิ่มได้อย่างไร ไม่ใช่พอรู้ว่าหนี้สาธารณะจะเกิดก็มาขอแก้ แบบนี้วินัยการคลังไม่มีประโยชน์ และยังทำให้ประสิทธิผลของความน่าเชื่อถือของ พ.ร.บ.วินัยการคลังภาครัฐไร้ประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน ความท้าทายเรื่องหนี้ภาคประชาชนก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งทบทวน ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ ไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้างหนี้ ขยายเวลา ลดดอกเบี้ย แต่ต้องเข้าใจตรรกะของการแก้ไขปัญหาหนี้ คือ การสร้างให้ประชาชนมีพลังในการหารายได้มาชำระหนี้ ตรงนี้เป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุด ต้องมีมาตรการเสริม มาตรการสร้างงาน สร้างรายได้ รวมทั้งกระทรวงการคลังอาจต้องทบทวนแผนการแก้ไขหนี้นอกระบบที่เคยทำมา แม้ว่าจะไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นแนวทางในการระดมสมองและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาหนี้ได้ดีที่สุดแล้ว

“ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้คนเปราะบาง คนฐานรากหลุดพ้นจากความยากจน เพราะโควิด-19 กระทบกลุ่มนี้มากที่สุด อยากเตือนกระทรวงการคลัง และ สศค. เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความยากจนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 และประกาศชัดเจนว่าผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องลดลงเรื่อย ๆ นั่นหมายถึงคนจนจะหมดจากประเทศไทย ไม่ใช่การทำงานแค่เปิดลงทะเบียนแล้วจ่ายเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการคนละครึ่งแล้วจบ อย่าดีใจว่าจะมีการรับสมัครอีก แต่ต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้มีคนถือบัตรสวัสดิการเพิ่มขึ้นในอนาคต” นายสมชัย กล่าว

อย่างไรก็ดี ความท้าทายสุดท้ายของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ การเร่งสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายใน เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพราะในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 ทำให้รายได้สำคัญของประเทศไทยหายไปอย่างมาก นั่นคือ รายได้จากการท่องเที่ยว และส่งออก สะท้อนว่าไทยพึ่งพาต่างประเทศมากเกินไป ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ได้หมายความว่าให้เลิกพึ่งพาต่างประเทศ แต่อยากให้พิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลในการพึ่งพิงต่างประเทศ กับการพึ่งพิงการเติบโตจากภายใน

นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) ในฐานะอดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการคืนกลับสู่ภาวะเศรษฐกิจไทยแบบปกติ แต่เป็นปกติแบบใหม่ (New Normal) มองว่าเป็นการตัดสินใจที่รอบของของรัฐบาล ที่ผ่านกระบวนการพิจารณาร่วมของคณะแพทย์อาวุโสที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมกันตัดสินใจ ถือเป็นจุดแข็งของไทยที่รัฐบาลยอมให้ผู้มีความรู้ความสามารถมาร่วมดำเนินการ

“ประเทศไทยกำลังทำสงครามกับเชื้อโรค การที่รัฐบาลยอมให้หมอที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นกำลังหลักในการร่วมตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ ตรงนี้เป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งของประเทศที่มีความยืดหยุ่น เพราะกระบวนการทางการเมืองปกติที่ผ่านมาไม่สามารถเปิดให้หมอเข้ามา ซึ่งจะทำให้ขาดกำลังสำคัญขาดสมองสำคัญไป” นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว โดยอยู่ในระยะของการฟื้นตัว ซึ่งภาคเศรษฐกิจทั้งไทยและในหลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบเหมือนกัน โดยเฉพาะในภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในช่วง 2 ปีที่โควิด-19 ระบาดนั้น โครงสร้างหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยค่อนข้างยืดหยุ่น และมีหลักประกัน ทำให้รากฐานทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรง ยังอยู่ได้ สะท้อนจากฐานะทางการคลังของไทยที่ัยังอยู่ในสภาพที่ดี หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อใช้เยียวยาและบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ต้องมีการขยายเพดานหนี้ แต่ก็เพราะที่ผ่านมารัฐบาลตั้งเพดานหนี้ไว้ไม่สูงด้วย

ด้านการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการดูแลระบบการเงินไว้ดีมาก แม้ว่าจะมีปัญหาหนี้เพิ่มขึ้น แต่ระบบสถาบันการเงินก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สถานะมั่นคง สภาพคล่องในระบบสูง ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 2 แสนกว่าล้านบาท แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จากผลกระทบของภาคการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลต้องพิจารณาเรื่องนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไร

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"