ชงกม.ป้องกันโดนดูดเงินจากบัญชี


เพิ่มเพื่อน    

“บิ๊กตู่” รู้ปัญหาเรื่องเงินบัตรเครดิตและเดบิตของประชาชนถูกโกงแล้ว สั่งเร่งแก้ปัญหาด่วน “ชัยวัฒน์” ลั่นเตรียมชงกฎหมายเข้มให้ผู้ค้าและผู้ซื้อต้องลงทะเบียน พร้อมให้แสดงตัวตน 2  ครั้งก่อนโอนเงิน “ตำรวจ” เสนอสารพัดวิธีป้องกัน “พล.ต.ท.กรไชย”  แจงเสียหายแล้ว 4 หมื่นคน ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
    เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม ยังคงมีความต่อเนื่องจากกรณีลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตและเดบิตจำนวนมากประสบปัญหาการทำรายการชำระเงินโดยที่ไม่ได้ทำธุรกรรมด้วยตนเอง แม้จำนวนเงินที่หักจะไม่สูง แต่มีจำนวนหลายรายการติดๆ กันนั้น นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบเรื่องแล้ว และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบเพื่อเร่งแก้ไขปัญหา
    นายธนกรกล่าวว่า ได้ประสานไปยังนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยแล้ว ซึ่งประธานสมาคมธนาคารไทยแจ้งว่าทีมของสมาคมกำลังร่วมประชุมกับทีมตรวจสอบการทุจริตฉ้อโกงเกี่ยวกับระบบธนาคาร และชมรมผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งล่าสุดสมาคมธนาคารไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงแล้วว่า ไม่ได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากธนาคาร แต่เป็นรายการที่เกิดจากการทําธุรกรรมชําระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่แอปดูดเงินตามที่ปรากฏเป็นข่าว 
    นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  กล่าวว่า ดีอีเอสกำลังร่างกฎหมายเตรียมส่งเข้าให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเพื่อคุ้มครองประชาชนในการซื้อขายออนไลน์ โดยจะให้ทุกร้านค้าที่ประกอบการทำธุรกิจออนไลน์เข้ามาจดแจ้ง โดยให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับ เช่น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องมีการยืนยันตัวตน เพื่อป้องกันการเอาข้อมูลไปตัดบัญชีโดยที่เจ้าของบัญชีไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายลูกของพระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 
“กระบวนการที่เราดำเนินการอยู่ เช่นจะให้มีการยืนยันตัวตน การมีตัวแทนในไทยที่รับผิดชอบต่อประชาชน มาตรการโอนเงินต้องมีระบบยืนยันตัวตน 2 ชั้น เป็นต้น ป้องกันไม่ให้ถูกหักเงินจากบัญชีโดยเจ้าของไม่รู้ตัว และให้ความคุ้มครองประชาชน” นายชัยวุฒิกล่าวและว่า ผู้เสียหายจากการถูกหักเงินผ่านบัญชีอัตโนมัติโดยไม่ได้ให้ความยินยอมนั้น  เชื่อว่าจะได้รับเงินคืนจากธนาคารแน่นอน แต่หากมีข้อติดขัดในการประสานงานกับธนาคารผู้ออกบัตรสามารถแจ้งมาที่ ETDA ผ่านสายด่วน 1212 เว็บไซต์ https://www.1212occ.com หรือ  email: [email protected] เพื่อจะช่วยประสานงานให้ต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ขอให้ผู้เสียหายแจ้งไปยังธนาคารเพื่ออายัดบัตรและปฏิเสธการชำระเงินค่าบริการทางออนไลน์ และทำการตรวจสอบรายการเดินบัญชี รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในทุกพื้นที่ใกล้บ้าน สำหรับวิธีป้องกันนั้น 1.ควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือผ่านทางออนไลน์ที่ต้องแจ้งข้อมูลด้านหน้าบัตรและรหัส 3 ตัวที่อยู่ด้านหลังบัตร 2.ควรนำแผ่นสติกเกอร์ทึบแสงปิดรหัส 3 ตัวด้านหลังบัตร หรือจดรหัส 3 ตัวดังกล่าวเก็บเอาไว้  แล้วใช้กระดาษทรายลบตัวเลขรหัสดังกล่าวออกจากด้านหลังบัตร 3.ระวังการหลอกลวงให้กรอกข้อมูลบัตรเพื่อจ่ายเงินค่าภาษีของเว็บไปรษณีย์ไทยปลอม 4.ควรหลีกเลี่ยงการกดลิงก์ที่มีการส่งมาทางอีเมล  SMS หรือสื่อสังคมออนไลน์  และ 5.หากต้องการเข้าไปที่เว็บไซต์ใด  ขอให้พิมพ์ชื่อเว็บด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันเข้าไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่มีความแนบเนียนมาก
    “การกระทำดังกล่าวนอกจากซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ยังเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5  ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประชาชนที่พบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดสามารถแจ้งไปยัง Call Center หมายเลขโทรศัพท์  191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวและว่า ขณะนี้มีประชาชนหลายพื้นที่ทยอยเข้าแจ้งความทั้งกับสถานีตำรวจพื้นที่ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.)
    พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า ขอให้คำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยทำได้ 2 วิธีการหลัก คือ วิธีทางออนไลน์และวิธีทางออฟไลน์ โดยวิธีทางออนไลน์นั้นคือ ไม่ผูกบัตรเครดิต/เดบิตกับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่หากจำเป็นต้องนำบัตรเครดิต/เดบิตไปผูกข้อมูล ควรกำหนดวงเงินของบัตรที่ทำการผูกข้อมูลให้น้อยที่สุดและเหมาะสมกับการใช้งาน ส่วนวิธีทางออฟไลน์ โดยการนำสติกเกอร์ หรือวัตถุอื่นๆ มาปิดบังหมายเลขหลังบัตรเครดิต (CVV) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ และหมั่นตรวจสอบรายการธุรกรรมบัตรของตนอย่างสม่ำเสมอ 
ส่วน พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท.กล่าวว่า ตำรวจไซเบอร์ได้ร่วมประชุมกับสภาธนาคารไทยและ ธปท.เพื่อร่วมมือแก้ปัญหากรณีดังกล่าว เบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายประมาณ 4 หมื่นคน ยอดสูงสุด  2 แสนบาท มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายถูกถอนเงินครั้งละจำนวนไม่มากแต่หลายครั้ง เชื่อว่าคนร้ายไม่น่าจะก่อเหตุคนเดียว มาจากหลายกลุ่มและใช้วิธีหลายรูปแบบ โดยพฤติการณ์การก่อเหตุสันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก 3 ลักษณะ คือ 1.เป็นการผูกบัญชีบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัญชีธนาคารเข้ากับแอปพลิเคชันต่างๆ  2.การส่ง SMS หลอกลวง ที่จะส่งลิงก์เข้ามือถือผู้เสียหาย และให้กรอกข้อมูลต่างๆ และ 3.การใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตในชีวิตประจำวัน เช่น ชำระค่าสินค้าและบริการในห้าง หรือการเติมน้ำมัน อาจถูกพนักงานเก็บข้อมูลเลขหน้าบัตร 16 หลัก และเลข CVC หลังบัตร  3 ตัว 
“จากการตรวจสอบพฤติกรรมการดูดเงิน มักจะเป็นการดูดเงินจำนวนไม่กี่บาทแต่หลายๆ ยอด เพราะหากเป็นบัตรเดบิตมักไม่มีการส่ง  sms แจ้งเตือนให้ผู้เสียหายรู้ ซึ่งยอดเหล่านี้มักเกิดจากการชำระซื้อค่าไอเทมในเกม หรือซื้อโฆษณาออนไลน์ที่ไม่จำเป็นต้องส่งสินค้าให้ผู้ซื้อ  ซึ่งตำรวจจะหารือกับ ธปท.และกลุ่มผู้ค้าสินค้าออนไลน์ถึงมาตรการป้องกัน อาทิ อาจลงทะเบียนร้านค้าออนไลน์ หรืออาจปรับมาตรการแจ้งเตือนชำระสินค้าและบริการที่เป็นยอดน้อยๆ ไม่ถึงขั้นต่ำเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว” พล.ต.ท.กรไชยกล่าว
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล และผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความในพื้นที่กรุงเทพฯ เบื้องต้นจะให้แต่ละสถานีตำรวจรับแจ้งความไว้  แต่หากมีผู้เสียหายจำนวนมากก็อาจพิจารณาตั้งคณะทำงานสอบสวนเป็นการเฉพาะอีกครั้ง
    นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค  สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า ธปท.และสมาคมธนาคารไทยควรเพิ่มมาตรการยืนยันตัวตนในการโอนเงินทุกครั้ง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่วนกรณีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบ ธนาคารผู้รับฝากเงินของผู้เสียหายควรต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคในการแสดงความรับผิดชอบของธนาคารผู้รับฝากเงินเอง แต่หากธนาคารหรือสถาบันการเงินไม่คืนเงินหรือไม่ตอบสนองต่อการแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้บริโภคสามารถแจ้งเรื่องมาได้ที่ สอบ.ที่พร้อมจะเป็นตัวแทนของผู้บริโภคเข้าดำเนินการตามกฎหมายกับธนาคารโดยทันที โดยติดต่อได้ที่เบอร์ 08-1134-9216.

copa747 finnivip deltabet nextgen999 wrc88 parallax168 bwvip5 ufa47 hotb3tflix bean9 easyslot88s s2kgame seal789 naza5959 akin888 gachamax ufar9 ufax7 kingtop11 route66slot dimowinning donki999 168godcat allin99my tkbrich


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"