“เอสเอ็มอี”ดันเศรษฐกิจ


เพิ่มเพื่อน    

      ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า ในปี 2560 มีจำนวนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยอยู่ประมาณ 3 ล้านราย จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 2.76 ล้านราย เพิ่มขึ้น 2.38 แสนราย หรือ 8.63% โดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม แต่กลุ่มที่พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ธุรกิจบริการอยู่ที่ 1.35 แสนราย ตามมาด้วยธุรกิจการค้าอยู่ที่ 8.09 หมื่นราย และภาคการผลิต 1.65 หมื่นราย ปิดท้ายที่ภาคธุรกิจการเกษตรอยู่ที่ 6.02 พันราย

        และในจำนวนเอสเอ็มอีไทยที่เพิ่มขึ้นกว่า 2.38 แสนรายนี้เอง ยังพบอีกว่ามีสัดส่วนสูงถึง 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานภายในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยมีมูลค่าผลผลิตจากเอสเอ็มอีคิดเป็น 37% ของตัวเลขจีดีพี

        ด้วยความสำคัญที่ถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมารัฐบาลจึงได้พยายามออกมาตรการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายเก่า รายใหม่ มาตรการด้านภาษีต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าอาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะในช่วงที่มีการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ (สตาร์ทอัพ) ก็ยังมีปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

        แม้ว่าผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจะมีไอเดีย มีความคิดที่สร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยีและความทันสมัยของโลก ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อุปสรรคเรื่อง “แหล่งเงินทุน” ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ คนกลุ่มดังกล่าวมีความต้องการเงินทุนเพื่อไปต่อยอดธุรกิจ ซึ่งอาจจะพบว่าในบางช่วงเวลา การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใหม่ไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิดไว้เลย

        ส่วนหนึ่งเพราะสถาบันการเงินที่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยง หากมีการปล่อยกู้ธุรกิจในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจอาจจะมีความเปราะบาง ดังนั้น การเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ จึงอาจเป็นคำตอบที่ช่วยแก้ปัญหาได้ในบางช่วงของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนตัวเล็ก” ก็ถูกหมายหัวเป็นเบอร์ต้นๆ ว่า “มีความเสี่ยง” ไปด้วยนั่นเอง

        ด้วยความยากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนนี้เอง ทำให้ในบางช่วงเวลาจึงอาจได้เห็นข่าวคราวการปิดกิจการของผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่สายป่านเรื่องต้นทุนไม่ยาวหนัก ทำให้แบกรับความเสี่ยงจากปัจจัยที่มีผลต่อการทำธุรกิจไม่ไหว ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ และเป็นประเด็นที่น่าสนใจในเวลาเดียวกัน

        และจากข้อมูลล่าสุดของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า มีผู้ประกอบการรายย่อย (จุลเอสเอ็มอี) ตกสำรวจกว่า 2.76 ล้านราย จากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ 5.4 ล้านราย โดยในส่วนที่ตกสำรวจนี้ พบว่า เป็นกลุ่มผู้ค้า แผงค้าในตลาด จำนวน 1.28 ล้านราย กลุ่มหาบเร่ แผงลอย จำนวน 5.64 แสนราย กลุ่มรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ (ฟู้ดทรัค) และรถพุ่มพวง จำนวน 9.04 หมื่นราย กลุ่มร้านค้าออนไลน์ 4.12 แสนราย กลุ่มร้านแฟรนไชส์ จำนวน 4.9 พันราย กลุ่มผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย จำนวน 1.7 แสนราย และกลุ่มผู้ประกอบการอื่นๆ อีก 2.31 แสนราย

        เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ สสว. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานพิจารณาหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นอาจใช้กลไกของกองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการวิสาหกิจ ที่มีเงินอยู่ 1.8 พันล้านบาทมาดำเนินการ อาจมีการปล่อยกู้ วงเงิน 5 หมื่นบาท - 1 ล้านบาท ปลอดดอกเบี้ย 7-10 ปี และยังมีสินเชื่อของ ธพว. ได้แก่ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 วงเงิน 8 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยคาดว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการในส่วนที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน

        ประกอบการกระทรวงการคลังเอง ที่พยายามผลักดันให้สถาบันการเงินต่างๆ ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอัตราการกู้เงิน และการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินได้มากขึ้น น่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ถือเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เติบโตได้อย่างมีศักยภาพ ได้เห็นภาพผู้ประกอบการหน้าใหม่ จากกำลังของคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน.

ครองขวัญ รอดหมวน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"